เรียนภาษาจีนกับอาจารย์อี้ : ตอนที่3 商纣暴政?

อ.อี้ hsk & patจีน

ราชวงศ์ซางตอนปลาย晚商 จุดจบของทรราชย์เเละจุดเริ่มต้นของสูตรล้มราชวงศ์
เกร็ด มังกร ต่อยอดShot Noteประวัติศาสตร์จีน ตอนที่3 ตอน商纣(shāng zhòu)暴政(bàozhèng)?

ข้อหาทรราชจริงหรือเท็จ? 正义还是阴谋?สูตรล้มเจ้า ชอบธรรมหรือเล่เหลี่ยม? วันนี้มายาวหน่อยครับ เพราะมีทั้งข้อมูลและดราม่า 3 หน้าA4พอดี^^”

เมื่อตอนที่แล้วเกริ่นทิ้งท้ายไว้ว่า เจ้าแผ่นดินคนสุดท้ายในราชวงศ์ซาง商 มีนามว่า “ซางโจ้ว商纣(shāng zhòu)” และเหตุการณ์โค่นล้มทรราช ถือเป็นสงครามปฏิวัติที่มีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์จีน และเป็นที่มาของ “สูตรล้มราชวงศ์” ในยุคต่อๆมา ในแง่ของวรรณกรรม ซางโจ้ว商纣(shāng zhòu)เป็นทรราชที่ถูกประนามราวกับปีศาจชั่วร้าย มีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนเป็นว่าเล่นขนาดแค่อาหารจืดชืดไม่ได้อย่างใจก็สั่งประหารพ่อครัวทั้งโรงครัวได้ และต่อมายังลุ่มหลงนารีชื่อ ต๋าจี่妲己 Dájǐ  ถึงขนาดสร้างสระหยก เสพสุราเคล้านารีในสระหยกจนไม่สนใจการบริหารประเทศ บวกกับนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต สร้างความทุกข์ยากแก่ประชาชนมหาศาล นำไปสู่การปฏิวัติล้มราชวงศ์商โดยฝีมือของเจ้าชายจีฟา姬发 Jīfā แห่งแคว้นโจว และก่อตั้งราชวงศ์โจว周สำเร็จ ซางโจ้ว商纣(shāng zhòu)ปกครองประเทศเยี่ยงทรราช暴政(bàozhèng) เป็นความเชื่อตามตำราเรียนและวรรณกรรมที่ฝังลึกมาช้านาน ตอนที่ผมเรียนวิชาประวัติศาสตร์ระดับประถมจนถึงม.ต้นที่ประเทศจีน ตำราส่วนใหญ่ก็ยืนยันเช่นนั้น แต่ประโยคที่นักประวัติศาสตร์และอักษรศาสตร์ชื่อกัวม่อยั่ว郭沫若กล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์คือตุ๊กตาที่คนรุ่นหลังจับแต่งตัวได้ตามใจ历史是任人打扮的小姑娘” ก็เป็นความจริงอีกข้อที่น่าคิด การกล่าวถึงบุคคลในประวัติศาสตร์จึงจำเป็นต้องอาศัยมุมมองที่เป็นกลาง ว่ากันด้วยหลักฐาน ถ้าไม่มีหลักฐานก็ควรจะถือว่าเป็นแค่เรื่องเล่า

*ซางโจ้วเป็นทรราช จริงหรือเท็จ?
ข้อหาทรราชของซางโจ้วค่อยๆเพิ่มมาขึ้นจากหกข้อในยุคปลายราชวงศ์ซาง商 กลายเป็นสิบกว่าข้อในราชวงศ์ต่อมา คือโจว周 และนานวันเข้า เมื่อถึงราชวงศ์ฮั่น汉 ทั้งพงศาวดารฉบับหลวง正史(zhèngshǐ)กับฉบับราษฎร์野史(yěshǐ)รวบรวมมากถึงเจ็ดสิบข้อ การทรมานนักโทษด้วยตะขอเหล็กร้อน การประหารพ่อครัวเพราะอาหารจืดชืด การเริงรักกับสนมต๋าจี่ในสระหยก ล้วนเป็นบันทึกที่เกิดขึ้นในภายหลังทั้งสิ้น บางบันทึกไปไกลถึงขนาดจากเริงรักกับต๋าจี่เพียงลำพังกลายเป็น เรียกสนมทั้งหมดมาลงสระหยก และชวนขุนนางคนสนิทมาร่วมด้วยอีก เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่ออ่างสุกี้คนแรกของโลกก็ว่าได้ ^^” ยิ่งในยุคราชวงศ์หมิงและชิงที่นิยายเฟื่องฟู บางครั้งนิยายอิงประวัติศาสตร์ก็เกินเลยถึงขั้นแฟนตาซี ต๋าจีกลายเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่รับคำบัญชาจากสวรรค์เพื่อลงมาทำให้ราชวงศ์ซางที่ปกครองด้วยระบอบทรราชย์ล้มสลาย และเพื่อให้ราชวงศ์โจวที่ปกครองด้วยระบอบธรรมราชย์ถือกำเนิดขึ้น พูดง่ายๆคือเขียนให้คนเลวดูเลวสุดๆเพื่อสร้างตัวละครฝ่ายคนดีที่ดีสุดๆเท่านั้นเอง

*ใครควรจะเกลียดชังซางโจ้วมากที่สุด?
เมื่อย้อนดูบันทึกเกี่ยวกับซางโจ้ว商纣ในยุคที่เขายังมีชีวิตอยู่ และยุคต้นราชวงศ์โจว周 ปรากฏว่า ไม่ได้บันทึกสิ่งชั่วร้ายและความวิตถารเหล่านั้นเลย แม้แต่จีฟา姬发ผู้โค่นล้มซางโจ้ว商纣 ก็ไม่ได้กล่าวให้ร้ายซางโจ้วขนาดนั้น ลองคิดง่ายๆ ถ้าโลกนี้จะมีคนเกลียดชังซางโจ้ว商纣 คนๆนั้นควรจะเป็นจีฟาอย่างไม่ต้องสงสัย เหตุเพราะพี่ชายของจีฟาถูกซางโจวประหาร พ่อของจีฟาก็ถูกซางโจ้วขังคุกอยู่หลายปี และในบันทึกของจีฟา ซางโจ้วเคยบังคับให้พ่อของตนกินเนื้อของลูกตนเอง(พี่ชายของจีฟาที่ถูกประหาร) จึงกลายเป็นปมความแค้นระหว่างสองตระกูลใหญ่นั่นเอง

*ซางโจ้วปกครองระบอบทรราชย์ จริงหรือ?
ความจริงอย่างที่เคยกล่าวไว้ในตอนที่1-2แล้วว่า ตั้งแต่ยุคใต้หล้าของส่วนรวม公天下จนถึงยุคใต้หล้าของตระกูล家天下 ราชวงศ์夏จนถึงซาง商 ล้วนปกครองด้วยระบบสืบสันตติวงศ์ ปกครองระบบศักดินาเป็นหลัก แต่ก็เป็นสังคมเกษตรด้วย การค้าทาสจึงเป็นสิ่งจำเป็นในสมัยนั้น แต่ทาสก็ไม่ได้เกิดจากระบบการแบ่งวรรณะใดๆทั้งสิ้น แต่เกิดจากการยอมเสนอขายตัวเอง ทำกันเป็นการค้า และในช่วงที่มีสงครามก็เป็นไปได้ที่พ่อค้าทาสรับซื้อเชลยสงครามมาเป็นทาส เพื่อแบ่งเบาภาระการใช้จ่ายของกองทัพ เข้าใจว่าในยุคนั้น อย่างน้อยเป็นทาสดีกว่าเป็นเชลยศึก เพราะเชลยศึกอาจถูกนำไปประหาร ถ้ากองทัพเลี้ยงไม่ไหว ลองคิดดูว่า ถ้าต้องเลี้ยงเชลยศึกทีละเป็นพันคน รายจ่ายของประเทศจะมากมายขนาดไหน ฉะนั้น การโอนไปเป็นทาสถือเป็นวิธีหมุนเวียนเศรษฐกิจที่ได้ผลในยุคนั้น และดีกว่าการประหารทิ้ง เพราะจะโดนประชาชนเกลียดชังเสียเปล่าๆ

ปรากฏว่า ภาพลักษณ์ของซางโจ้วที่ชั่วร้ายกลับขัดแย้งกับบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกค้นพบหลายๆเรื่อง เช่น ซางโจ้วเป็นนักการทหารที่ปรีชาสามารถและกล้าหาญชาญชัย มักจะนำทัพด้วยตัวเอง ไม่ใช่การเสพสุขอยู่ในวังอย่างที่คนเชื่อกัน และซางโจ้วเป็นหนึ่งในเจ้าแห่งแค้วนที่ยึดถือประเพณีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเคร่งครัด ปรากฏตัวในพิธีสำคัญทุกครั้ง(ก็ดูไม่ขี้เมาเท่าไหร่) แต่ในขณะเดียวกัน ซางโจ้วไม่ใช่คนงมงายจนหน้ามืดตามัว เขาเคยปฏิวัติความเชื่อโดยการลงโทษขั้นรุนแรงต่อพ่อมดหมอผีที่หาประโยชน์จากพิธีกรรมและความเชื่อ และปฏิรูปการปกครองโดยการลงโทษศักดินาที่ทำตัวเหลวแหลกสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้าน และมีการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง ส่งผลให้เศรษฐกิจของซางในช่วงการปกครองของซางโจ้วเฟื่องฟู จนเหลืองบประมาณมหาศาลสำหรับการแผ่ขยายอาณาจักร แต่การเป็นผู้นำที่นิสัยเด็ดเดี่ยว บางครั้งก็ลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาเกินกว่าเหตุ ซึ่งจุดนี้ ฮ่องเต้ในยุคต่อๆมาก็เป็นกันหมดแถมเป็นหนักกว่าซางโจ้วก็มีถมไป

กรณีหลงนารีจนหัวปักหัวปำไม่สนใจทุกข์สุขของประเทศก็ยังน่าสงสัย เพราะในประวัติศาสตร์พูดถึงต๋าจี่ สนมเอกของซางโจ้วน้อยมาก ประมาณว่ามีอยู่ 1 บรรทัด คือ “ต๋าจีเป็นลูกทาส คนส่วนมากมองว่าทาสชั้นต่ำเท่ากับสัตว์เลี้ยง แต่ซางโจ้วกลับไม่คิดเช่นนั้น จึงรับต๋าจีมาเป็นสนม” ซึ่งถ้ามีการบันทึกแค่นี้ คนรุ่นหลังจะนำมาปรุงแต่งเป็นนิยายรัก หรือนิยายทรราชก็ได้ทั้งนั้น เช่นอยู่ดีๆจะเขียนว่า เป็นรักต่างชนชั้นแบบเดียวกับ ฮ่องเต้เฉียนหลงกับหญิงชาวใต้ ก็ได้นะ ฉะนั้นเขียนให้ดูดี หรือเขียนให้ดูเลว มันขึ้นอยู่กับ”จุดประสงค์” แน่นอน ถ้าเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับการปฏิวัติล้มเจ้า คงไม่เขียนความรักแหวกม่านประเพณีของซางโจ้ว商纣แน่ๆ

*สงครามปฏิวัติที่ทุ่งมู่เหย่牧野之战
สิ่งที่นักประวัติศาสตร์สรุปอย่างเป็นกลางมีดังนี้ครับ ในปลายราชวงศ์ซาง ซางโจ้วมีอำนาจทางการทหารที่แข็งแกร่ง แผ่ขยายอำนาจอย่างรวดเร็ว แต่จุดเปลี่ยนของสงครามเกิดขึ้นที่หลังบ้าน เริ่มจากเหตุการณ์พี่ชายของจีฟาแห่งตระกูลโจว เกิดหลงรักนางสนมของซางโจ้ว(คนรุ่นหลังก็โยงเรื่องนี้เข้ากับต๋าจี่妲己ซึ่งจริงเท็จอย่าง ไรก็ไม่มีข้อยืนยัน) ทำให้ซางโจ้วบันดาลโทสะ สั่งประหารเสีย และจับพ่อของจีฟาขังคุก ซึ่งมองในแง่ของหลักสงคราม การจับผู้นำประเทศราชขังคุกในกรณีนี้อาจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะซางโจ้วต้องนำทัพออกรบบ่อยครั้ง จึงไม่อาจไม่ระวังหลัง เมื่อประหารบุตรชายเขาไปด้วยความโมโห ย่อมสร้างความเจ็บแค้นให้ผู้เป็นพ่อ เพื่อป้องกันกบฎ จึงต้องจับพ่อไปขังไว้ก่อน ซึ่งต่อมาเมื่อเสร็จจากศึกสงครามซางโจ้วก็ปล่อยตัวพ่อของจีฟาออกมา นำไปสู่การซ่องสุมกำลังของฝ่ายตระกูลโจว (ฝ่ายจีฟาและพ่อที่เพิ่งถูกปล่อยตัว) ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ ถือเป็นการตัดสินใจผิดครั้งใหญ่หลวงของซางโจ้วถึงขั้นสิ้นชาติ เพราะความใจอ่อนไม่เข้าเรื่อง โจโฉในยุคสามก๊กปลายราชวงศ์ฮั่น汉ก็เคยกล่าววิจารณ์ซางโจ้วในแง่นี้ เขาบอกว่า คนเป็นผู้นำสงครามในเมื่อรู้ตัวว่าฆ่าคนผิดไป ก็ต้องฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ ส่วนการปรับปรุงตัวเองให้ใจเย็น ต้องเป็นเรื่องที่แก้ไขภายหลัง ไม่ใช่ฆ่าบ้างปล่อยบ้างแบบนี้ เมื่อจีฟาและพ่อซ่องสุมกำลังได้เต็มที่แล้ว จึงเริ่มประกาศปฏิญามู่เหย่ ณ ทุ่งมู่เหย่ โดยมีเนื้อหาประนามวิสัยทรราชย์ของซางโจ้วทั้งหมด 6 ข้อ (ไม่ใช่70กว่าข้ออย่างที่คนรุ่นหลังปรุงแต่ง) กองทัพธรรมของจีฟานอกจากกองทัพของตัวเองแล้วยังประกอบด้วยเหล่าขุนศึกจากหลายตระกูใหญ่ที่เคยถูกซางโจ้วลงโทษและยังมีประเทศราชที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในตอนนั้น ยกทัพประชิดนครเฉาเกอที่ซางโจ้วพำนับอยู่ทันที

*จุดเปลี่ยนของสงคราม
เมื่อสืบค้นจากทั้งบันทึกและร่องรอยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ก็พบว่า นครเฉาเกอซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของซางโจ้วไม่ใช่นครหลวง แต่เป็นหัวเมืองอันเป็นฐานที่มั่นของกองทัพราชวงศ์ซาง ซึ่งใช้ในยามออกศึกพิชิตตงอี๋ ซึ่งเป็นดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้(ฮกเกี้ยนในปัจจุบัน) เป็นหัวเมืองที่ใช้ทำสงครามและพักรักษาทหารบาดเจ็บเป็นหลัก ค่อนข้างไกลปืนเที่ยง ฉะนั้น จะเกิดอะไรขึ้นในเมืองนั้น คนที่เมืองหลวงและเมืองใหญ่อื่นๆยากที่จะรู้ได้ และในช่วงเวลานั้น(บั้นปลายของซางโจ้ว อายุ60แล้ว) ซางโจ้วเพิ่งจะเสร็จจะศึกหนักที่ตงอี๋ เท่าที่มีในบันทึกยุคเดียวกัน ต๋าจี่妲己ก็เป็นลูกสาวเชลยศึกที่ได้มาจากสงครามตงอี๋นี้เอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ซางโจ้วจะหลงต๋าจี่จนทิ้งการบ้านการเมือง สร้างสระหยกและทำเรื่องบ้าบอคอแตกมากมาย ถ้าจะทำคงต้องทำทั้งหมดที่ว่านี้ให้ครบระหว่างทางเดินทัพกลับเมืองหลวงเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ข้อหาหลงนารี ปลิ้นสุรา ฆ่าล้างโรงครัว รวมไปถึงการผ่าท้องหญิงมีครรภ์เพื่อเอาใจต๋าจี่妲己จึงไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง Continue reading

ความหมายอักษรจีน และศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน ตอนที่1 [a-e]

เรียนรู้ภาษาจีนพื้นฐานเบื้องต้นจากอักษรจีน พร้อมคำศัพท์ และคำอ่านพินอิน

อักษรจีนพร้อมคำอ่านพินอิน ความหมาย และคำแปล ตอนที่ 1 หมวดหมู่ A ถึง E

เรามาเริ่มเรียนรู้ภาษาจีน จากอักษรจีนร่วมกันนะครับ(มีทั้งหมด 8 ตอน) อักษรจีนบางตัวอาจใช้ได้ในหลากหลายความหมาย ในที่นี้จะให้ความหมายหรือคำแปลเพียงบางความหมายเท่านั้น เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและนำไปต่อยอดในความหมายอื่นๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้อักษรจีนบางตัวอาจจะเขียนซ้ำกันแต่จะมีความหมายและเสียงที่ต่างกันออกไป ตัวที่มีได้หลายเสียง จะใช้เครื่องหมาย * แสดงไว้หลังพินอิน ส่วนวิธีการเขียนนั้นให้ดูในหัวข้อ วิธีการเขียนอักษรจีนเรียนรู้วิธีเขียนอักษร และอย่าลืมอ่านหัวข้อ กฎในการใส่เครื่องหมายวรรณยุกต์พินอิน และการออกเสียง

ในส่วนของการออกเสียงให้เน้นพินอินเป็นหลักครับ มีตัวอย่างจากหลายเว็บด้วยกันเช่น Pinyin – Chinese Pinyin Table (horizontal) หรือ http://chinese.yabla.com/chinese-pinyin-chart.php แล้วแต่ชอบ นอกจากนี้ยังสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จาก อักษรจีนใช้บ่อย 3000 คำ ด้วยครับ

และอย่าลืมติดตั้ง พจนานุกรมภาษาจีนอังกฤษป๊อปอัพ แค่ใช้เมาท์ชี้ก็แปลให้

เด็กหญิงกำลังฝึกพูด

หมวดหมู่ A-E | F-H | J-L | M-O | P-R | S-W | X-Y | Z

สารบัญ :
อักษรจีนหมวดหมู่ A
อักษรจีนหมวดหมู่ B
อักษรจีนหมวดหมู่ C
อักษรจีนหมวดหมู่ D
อักษรจีนหมวดหมู่ E

อักษรจีนหมวดหมู่ A

  • 阿 [ā] คำเสิรมน้ำเสียง อา… ⟶ 阿爸 [ābà] พ่อ, 阿姨 [āyí] น้าสาว, 阿弥陀佛 [ēmítuófó] อมิตพุทธ
  • 哎 (嗳) [āi] คำอุทาน ⟶ 哎呀 [āiyā] ไอ้หยะ , 哎哟 [āiyō] ไอ้โย
  • 哀 [āi] เศร้าโศก,เสียใจ ⟶ 节哀 [jié’āi] ระงับความเศร้าโศก, 哀伤 [āishāng] เศร้าโศก, 哀悼 [āidào] อาลัย(กล่าวถึงผู้เสียชีวิตแล้ว) , 哀辞 [āicí] คำไว้อาลัย
  • 挨 [āi]* ⟶ 挨骂 [áimà] ถูกด่า เช่น 谁进去谁挨骂。 ใครเข้าไปคนนั้นก็ถูกด่า, 挨次 [āicì] ตามลำดับ
  • 埃 [āi] ⟶ 埃及 [āijí] อียิปต์(Egypt)
  • 癌 [ái] มะเร็ง(Cancer) ⟶ 癌症 [áizhèng] มะเร็ง, 食管癌 [shíguǎnái] มะเร็งหลอดอาหาร, 肺泡癌 [fèipào’ái] มะเร็งปอด, 淋巴癌 [línbā’ái] มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, 血癌 [xuè’ái] มะเร็งโลหิต, 子宫颈癌 [zǐgōngjǐngái] มะเร็งปากมดลูก, 前列腺癌 [qiánlièxiànái] มะเร็งต่อมลูกหมาก, 大肠癌 [dàchángái] มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • 矮 [ǎi] เตี้ย ⟶ 低矮 [dī’ǎi] เตี้ย, 矮小 [ǎixiǎo] เตี้ยและเล็ก, 矮矮的 [ǎi’ǎide] เตี้ย
  • 艾 [ài] ⟶ 合艾 [Héài] หาดใหญ่
  • 爱 [ài] รัก,ชอบ ⟶ เช่น 1.我爱你! ฉันรักคุณ 2.我真的很爱她 。 ผมรักเขามากจริงๆ 3.我就爱听摇滚乐。 ฉันชอบฟังดนตรีร๊อกแอนด์โรล, 可爱 [kě’ài] น่ารัก,爱情 [àiqíng] ความรัก, 爱情片 [àiqíngpiān] หนังโรแมนติก, 爱好 [àihào] ชื่นชอบเป็นพิเศษ, 真爱 [zhēn’ài] รักแท้, 爱好 [àihào] งานอดิเรก เช่น 你有什么爱好? เธอมีงานอดิเรกอะไร, 谈爱好 [tánàihào] การสนทนาเรื่องงานอดิเรก, 爱疯 [àifēng] ไอโฟน/iPhone
  • 碍 (礙) [ài] อุปสรรค ขัดขวาง ⟶ 碍眼 [àiyǎn] ขวางหูขวางตา, 阻碍 [zǔ’ài] อุปสรรค

Continue reading

เกร็ดมังกร ตอน เรื่องเต๋าเต๋า 道道道

อ.อี้ hsk & patจีน
เรื่องเต๋าเต๋า 道
เรื่องเต๋าเต๋า 道

เกร็ดมังกร ตอน เรื่องเต๋าเต๋า 道道道

ก่อนเข้าเรื่องมีเกร็ดความรู้นิดนึง พอดีมีมิตรFace ท่านหนึ่งถามเกี่ยวกับวรรณกรรมอันเป็นที่มาของsex&zen ซึ่งผมมีบทความเก่าที่เคยเขียนถึงเรื่องนี้พอดี จึงเอามาเเบ่งปันอีกครั้ง ภาพยนตร์ sex&zen玉蒲团 (yùpútuán) ดัดเเปลงมาจากวรรณกรรมเรื่อง肉蒲团 (ròupútuán) ของนักเขียนชื่อหลี่หยู李渔 (liyú) ในยุคปลายราชวงศ์หมิง หลี่หยู李渔เป็นนักเขียน/นักวิจารณ์/นักคิดที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เเละมีผลงานเขียนที่คล้ายคลึงกับ บทความนิตยสารเเละหนังสือพิมพ์ในปัจจุบันมาก ชอบเขียนเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ อาหาร รสนิยม การเเต่งบ้าน คู่ครอง ชีวิตสมรส เเละเรื่องเพศ นิยาย肉蒲团เป็นนิยายเเนวอีโรติกโดยตรง ต่างจากบุปผาในกุณฑีทอง金瓶梅(jīnpíngméi)ที่เสียดสีสังคม ปฏิวัติความคิดชนชั้นเป็นหลัก

เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกัน Continue reading

สำนวนจีน 风平浪静 คลื่นสงัดลมสงบ

อ.อี้ hsk & patจีน

สุภาษิตวันนี้ (พร้อม ต.ย.การเเต่งประโยค)
风平浪静 [fēng​píng​làng​jìng] คลื่นสงัดลมสงบ หรือหมายถึง ปลอดภัยไร้กังวล/มีสวัสดิภาพ 平安无事 ก็ได้

ต.ย.1

  • 这阵子国家大乱,我只希望家人能够风平浪静得过日子。
    Zhèzhènzǐ guójiā dàluàn, wǒ zhǐ xīwàng jiārén nénggòu fēngpínglàngjìng dé guòrìzi.
    ระยะนี้ ประเทศวุ่ยวาย ฉันเเค่หวังว่าคนในครอบครัวสามารถผ่านทุกอย่างไปโดยสวัสดิภาพเท่านั้น

ต.ย.2

  • A:今天股市场怎么样?(股市场 gǔshìchǎng ตลาดหุ้น)
    jīntiān gǔshìchǎng zěnme yàng?
    วันนี้ตลอดหุ้นเป็นอย่างไรบ้าง?
  • B:风平浪静
    fēng​píng​làng​jìng
    คลื่นสงัดลมสงบ(ไม่มีอะไรน่ากังวล)

ติดตามได้ใน…อ.อี้hsk&patจีน

ทำไมอักษรจีนเขียนจากบนลงล่าง ไล่บรรทัดจากขวาไปซ้าย?

อ.อี้ hsk & patจีน

เกร็ดมังกร ตอน ทำไมอักษรจีนเขียนจากบนลงล่าง ไล่บรรทัดจากขวาไปซ้าย?

甲骨文อักษรบนกระดูกสัตว์ 竹简/牍 อักษรที่บันทึกบนม้วนไม้ไผ่ ส่งผลต่อวัฒนธรรมการเขียนภาษาจีนอย่างไร?

หลายคนเข้าใจได้ไม่ยากว่า การเขียนจากบนลงล่างนั้นเพราะ อักษรจีนสมัยเเรกเริ่ม เขียนด้วยวิธี เขียนฝาผนัง เเกะสลักลงกระดูกสัตว์ เเล้วค่อยเปลี่ยนเป็นการเขียนด้วยพู่กัน ซึ่ง การเขียนในเเนวดิ่งย่อมง่ายกว่า เช่น เขียนฝาผนัง ผู้เขียนไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา

สามารถเขียนเเนวดิงเสร็จเเถวหนึ่งเเล้วขึ้นเเถวใหม่โดยขยับไปอีกเเค่ก้าวเดียว หรือการเเกะบนกระดูกสัตว์ การกดกระดูกสัตว์ให้ติดกับพื้น/ของเเข็ง ในเเนวตั้ง จะมั่นคงกว่า การกดวางในเเนวนอน(เอามือกดไว้ตรงข้างบนเเล้ว เเกะไล่ลงมาในเเนวดิ่ง) ส่วนการเขียนพู่กัน การเขียนเเนวดิ่งก็เอื้อต่อการเขียนโดยไม่มีเส้นบรรทัดกำกับอยู่เเล้ว

เเต่ทำไมต้องเขียนจากขวาไปซ้ายล่ะ เพราะหลายคนมองว่า ถ้าเขียนจากขวาไปซ้าย เเขนของคนเขียน(ถือพู่กันมือขวา) ก็จะวางทับตัวอักษรที่ตัวเองเขียนไปนะสิ ตัวอักษรก็เลอะพอดี ทำไมไม่เขียนจากซ้ายไปขวา?

ข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์เเละนักโบราณคดีมีดังนี้ครับ

1.ถ้าเป็นกรณีอักษร甲骨文ที่เเกะลงกระดูกสัตว์ น่าจะเกิดจากการลงหมึกเป็นเเบบอักษรก่อนโดยผู้ที่มีความรู้ เเล้วค่อยให้ช่างฝีมือใช้มีดเเกะตามรอยหมึก เพราะครั้นจะให้ผู้มีความรู้มานั่งเขียนเองเเละเเกะเองคงเสียเวลามาก การเขียนต้องพึ่งความรู้

เเต่การเเกะเป็นงานเเรงงาน ช่างเเกะไม่จำเป็นต้องมีความรู้เยอะ เเค่พออ่านออก ไม่งงก็พอเเล้ว จึงเกิดการเเบ่งหน้าที่กัน ให้นักวิชาการเขียนด้วยหมึก จะเขียนเร็วกว่ามาก เเล้วค่อยให้ ทีมช่างเเกะสลักเเบ่งกันไปเเกะต่อ

มีข้อสันนิษฐานอีกเเบบหนึ่งคือ ในยุคโบราณ การอ่านไล่จากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวา ง่ายพอๆกัน เพราะตัวหนังสือมีขนาดใหญ่เละตาไม่จำเป็นต้องก้มใกล้กับตัวหนังสือมาก ที่สำคัญ การบันทึกอักษรในยุคเเรกๆส่วนมากเกิดขึ้นในพิธีกรรมทางความเชื่อ

เช่นบันทึกคำทำนาย คำพยากรณ์ของหมอผีเป็นต้น ฉะนั้น คนออกเเบบวิธีอ่านจึงคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลัก ซึ่งคนจีนโบราณยึดถือ ฟ้าอยู่เหนือ ดินอยู่ล่าง ขวาเป็นหลัก ซ้ายเป็นรอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเรียงจากขวาไปซ้าย (บางความเชื่อที่มีการเีรียนจากซ้ายไปขวาเกิดขึ้นในภายหลัง) ฉะนั้น การเขียน/บันทึกข้อความในพิธีกรรม ต้องไล่จากบนลงล่าง ขวาไปซ้ายเสมอนั่นเอง จึกกลายเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมจำเป็นต้องเเกะจากขวามาซ้ายครับ เพราะถ้าเเกะจากซ้ายมาขวา สันมือของช่างก็จะไปโดนหมึกตัวอักษรที่อยู่ข้างขวาตลอดเวลา ตัวหนังสือก็จะถูกลบหรือถูกทำเลอะอย่างเเน่นอน ฉะนั้นต้องเเกะจากขวามาซ้าย สันมือก็จะไม่โดยหมึกตัวอักษรที่ยังไม่เเกะ จึงเป็นที่มาของ วิธีเเบบ บนลงล่าง ขวาไปซ้าย นั่นเอง

2.ในกรณีของม้วนอักษรไม้ไผ่竹简/牍 ซึ่งเขียนด้วยหมึกล้วน ไม่มีการเเกะสลัก ทำไมยังเขียนจากขวาไปซ้ายล่ะ? คำอธิบายคือ ในความเป็นจริง ในระยะเเรกของการคิดค้นม้วนอักษรไม้ไผ่ คนโบราณจะเขียนเป็นซี่ๆก่อน เเล้วค่อยเอาซี่ไม้ไผ่มาร้อยเป็นเล่มภายหลังครับ เพราะในระยะเเรกอาจจะยังไม่มีกรรมวิธีป้องกันการขึ้นราของไม้ไผ่ ถ้าร้อยไว้ตั้งเเต่เเรก เกิดมีซี่หนึ่งดันขึ้นรา ก็จะต้องเอาออก ร้อยเข้าไปใหม่ เสียเวลาโดยใช่เหตุ

เเละอีกประการคือ เอาเข้าจริงๆ ผู้เขียนบางครั้งก็ไม่รู้ว่า ต้องเขียนมากหรือน้อยเเค่ไหน ถ้าบทความสั้นมาก เเต่ม้วนไม้ไผ่ดันยาว ก็เหลือพื้นที่ว่างเปล่า กลายเป็นความสิ้นเปลือง ฉะนั้น การเขียนยุคเเรกจะเป็นการ เลือกเเผ่น/ซี่ไม้ไผ่มาเขียนทีละซี่ โดยเเผ่นเเรกกับเเผ่นสุดท้ายมีเครื่องหมายกำกับไว้ด้านหลัง (ส่วนซี่ระหว่างบทความไม่ต้องทำเครื่อหมาย

เพราะเนื้อหาที่เขียนลงไปมันต้องเชื่อมต่อกันอ่านรู้เรื่องอยู่เเล้ว) ฉะนั้นกว่าจะเป็นหนังสือหนึ่งเล่มมันจะผ่านกระบวนการ 2 ขั้นตอน คือ เขียนเป็นซี่ๆ เเล้วค่อยร้อยเป็นเล่มๆ

การเขียนเป็นซี่ย่อมต้องเขียนจากบนลงล่าง เพราะสะดวกเเก่ผู้เขียนเเละควบคุมความบรรจงเเละความสวยงามได้ง่าย

ส่วนเย็บเล่ม ผู้เย็บเล่มก็คำนึงถึง วิธีการคลี่อ่านเป็นหลัก ซึ่งคนส่วนใหญ่ถนัดขวา ใช้มือข้างที่ถนัดจับม้วนไม้ไผ่ไว้(ม้วนไม้ไผ่ค่อนข้างหนัก)ให้มั่นคง เเล้วใช้มือซ้ายคลี่เบาๆ ก็อ่านได้ถนัดเเล้วครับ ด้วยเหตุนี้ ผู้เย็บเล่มเขาก็ต้องเย็บบรรทัดเเรกให้อยู่ข้างขวาโดยปริยาย เป็นที่มาของการไล่บรรทัดจากขวาไปซ้ายในภาษาจีน

ส่วนการเขียนจากซ้ายไปขวา ไล่บรรทัดจากบนลงล่างตามหลักสากลนั้น เกิดขึ้นในยุคหลังราชวงศ์清 เป็นยุคที่เลิกใช้พู่กัน เเต่ใช้ดินสอกับปากกา กระดาษมีน้ำหนักเบาใช้มือซ้ายกดไว้เบาๆก็สามารถลากเส้นจากซ้ายไปขวาได้สบายๆ เเละการเขียนตามเเนวขวางก็สบายตากว่า เพราะการใช้ดินสอปากกาเขียนหนังสือ ระยะการมองระหว่างตากับกระดาษมันใกล้มาก ถ้ายังอ่านจากบนลงล่างจะปวดตาเเละตาลายได้ง่ายๆครับ

ประมาณนั้น สวัสดี(-/i\-)

ติดตามได้ใน…อ.อี้hsk&patจีน

ความหมายของ 春秋

อ.อี้ hsk & patจีน

春秋 [chūnqiū] ใบไม้ผลิเเละใบไม้ร่วง เเละยังมีความหมายอื่น คือ 1ปี

ในเชิงประวัติศาสตร์ ก่อนราชวงศ์ฉินก็มียุคที่เรียกว่า 春秋战国 [chūnqiū zhànguó] (ยุคชุนชิว-จ้านกั๋ว) ชุนชิว 春秋 เป็นยุคเเห่งความรู้เเละการโต้วาทะ เหตุที่ได้ชื่อว่ายุคชุนชิว 春秋 เพราะคำโบราณคำว่า 春秋 ยังสามารถเเปลว่า “การบันทึก” นั่นหมายความว่า เป็นยุคเเห่งการบันทึกความรู้ ยุคที่ให้ความสำคัญกับปัญญาชน ส่วนยุค 战国 คือยุคเเห่งสงครามเเว่นเเคว้น (คำว่าจ้าน 战 เเปลว่าสงคราม/การรบ)

เรื่องย่อมีอยู่ว่า ช่วงปลายราชวงศ์โจว 周 เเผ่นดินจีนมากด้วยนักปราชญ์ปัญญาชน นิยมเอาชนะด้วยเหตุผลมากกว่าใช้กำลัง เเต่เมื่อนานวันเข้า การถกเถียงกลายเป็นความบาดหมาง เหล่าขุนศึกที่รอโอกาสมานานก็อาศัยการปลุกระดม ทำลายความอดทนของสังคม ประกาศสงคราม เข้าสู่ยุคของความวุ่นวาย กลายเป็นยุคที่โจรเป็นเจ้า เจ้าเป็นหุ่นเชิด เเละท่ามกลางความวุ่นวาย ผลสุดท้าย เหล่าขุนศึกโจรที่อยากจะเป็นเจ้าเสียเองก็ต้องเจอกับมหาโจรที่ชื่อ หยิงเจิ้ง 赢政(เจ้าชายเเห่งเเคว้ยฉิน秦) หยิงเจิ้งโค่นหกเเคว้น ก่อตั้งประเทศเเห่งศูนย์กลาง(中国) กลายเป็นฮ่องเต้องค์เเรกในเเผ่นดินจีน นาม秦始皇帝(ฉินสื่อหวางตี้/จิ๋นซีฮ่องเต้)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่คนหมู่มากเขลาความรู้ ไม่เห็นคุณค่าของการศึกษาเเละการหารือถกเถียงด้วยสติปัญญา ก็เป็นโอกาสของโจรบ้าพลัง สุดท้าย ประเทศวุ่นวาย เเละลงเอยด้วยการถือกำเนิดของมหาโจร …เสร็จโจรล่ะทีนี้

เเละในโลกนี้น้อยนักทีมหาโจรจะคิดสร้างสรรค์ จิ๋นซีฮ่องเต้ยึดวิถีแบบมหาโจรผู้เหี้ยมโหดเกือบตลอดชีวิต คิดสร้างสรรค์สร้างเเผ่นดินใหม่เพียงไม่นานก็ถึงเเก่กรรม โจรกลับใจตอนเเก่เช่นนี้ก็เป็นเเค่ตัวอย่างหนึ่งในร้อยที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ฉันใด

ฉันนั้น การฝากความหวังไว้กับโจรก็เป็นเรื่องโง่เขลา

  • 春季 [chūnqiū] ฤดูใบไม้ผลิ
  • 季节 [jì jié] ฤดูกาล
  • 赛季 [sài jì] ฤดูกาลเเข่งขัน
  • 联赛 [liánsài] การเเข่งขันเเบบสมาพันธ์ / การเเข่งขันลีค เช่น 英格兰足球超级联赛 [yīnggélán zúqiú chāojí liánsài] การเเข่งขันพลีเมียลีคเเห่งอังกฤษ

ติดตามได้ใน…อ.อี้hsk&patจีน

เข้าใจสุภาษิตจีนจากเลข 1 ถึง10 (一五一十 话说成语)

อ.อี้ hsk & patจีน

จากคณะผู้ก่อการ HSK ตอน 一五一十 话说成语 เข้าใจสุภาษิตจีนจากเลข1 ถึง10

การทำความเข้าใจคำสุภาษิตจีนไม่ใช่การท่องจำความหมายเพียงอย่างเดียว เพราะคำสุภาษิตจีนมักทำหน้าที่เป็น “คำจำกัดความ” เพื่ออธิบายสถานการณ์ หรือ เพื่อเป็นตัวอย่างเตือนสติคนเรา อักษรเพียง4ตัวย่อมไม่ได้หยิบจับมาเพื่อให้ครบความเท่านั้น วันนี้เรามาดูตัวเลข 1ถึง10 ว่ามีความสำคัญต่อ “การจำกัดความ” ของสุภาษิตจีนอย่างไร ดูในภาพ

เลข 1-4 มักสื่อถึงความเป็นเอกภาพและความแตกแยก/กระจัดกระจาย ตัวอย่างเช่น :

  • 一心一意 (yìxīnyíyì) รักเดียวใจเดียว / ตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น
  • 矢忠不二 (shǐzhōngbùèr) บ่าวดีไม่มีสองนาย
  • 忠心不二 (zhōngxīnbúèr) ซื่อสัตย์จงรักภักดี
  • 三心二意 (sānxīnèryì) สองจิตสองใจ โลเล
  • 不三不四 (bùsānbúsì) นอกลู่นอกทาง เอาดีไม่ได้สักอย่าง
  • 颠三倒四 (diānsāndǎosì) มั่วไปหมด ไร้หลักการ ไร้ทิศทาง
  • 四面八方 (sìmiànbāfāng) มีทุกทิศ หรือ ทั่วสารทิศ

เลข 6, 7, 8 มักสื่อถึงความอลหม่าน มีมากจนไม่อาจควบคุม

  • 三头六臂 (sāntóuliùbì) สามเศียรหกกร ฤทธิ์มาก ควบคุมยาก **(มาจากลักษณะของเทพนาจา ซึ่งเป็นคนเกเรและฤทธิ์มาก)
  • 七嘴八舌 (qīzuǐbāshé) แย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์
  • 七上八下 (qīshàngbāxià) ตุ้มๆต่อมๆ (ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หมายถึง ว้าวุ่น สับสน)

เลข 9 มักสื่อถึงความเต็มที่ ใกล้ความจริง

  • 八九不离十 (bājiǔbùlíshí) ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง สำนวนที่คล้ายกัน 十有九八 ถึงไม่สิบก็มีแปดมีเก้า (มีความเป็นไปได้สูง มั่นใจมาก)
  • 九牛二虎之力 (jiǔniúèrhǔzhīlì) ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ สุดกำลังความสามารถ ประมาณว่าใช้แรงพอๆกับวัวเก้าตัวกับเสืออีกสองตัวมารวมกัน

เลข10 มักสื่อถึงความครบถ้วน

  • 十全十美 (shíquánshíměi) สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ
  • 一五一十 (yīwǔyīshí) จะนับ 1-5 หรือ 1-10 ก็ครบหมดไม่มีตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว (หมายถึงการอธิบายอย่างละเอียด)

ติดตามได้ใน…อ.อี้hsk&patจีน

ความแตกต่างระหว่าง 丰富, 富裕, 富有 และ 丰盛

Gunth Lpnm ใน Love Chinese

วันนี้มา “ปล่อยของ” อีกชุด (และจะทยอยปล่อยออกมาอีกเป็นระลอกๆ)

丰富、富裕、富有、丰盛 เป็นคำคุณศัพท์ (形容词) ทั้งหมด

หมายถึงอุดมสมบูรณ์, มั่งมี, มีเหลือมากพอ, เหลือกินเหลือใช้, ล้นเหลือ, ร่ำรวย, มีเงินมีทอง, ล่ำซำ ฯลฯ คำเหล่านี้ ถึงแม้จะมีความหมายคล้ายคลึง หรือใกล้เคียงกัน แต่ก็ใช้แทนกันไม่ได้ มาว่ากันทีละตัวเลย

1.丰富 [fēngfù] (อุดมสมบูรณ์) เน้น “ความอุดมสมบูรณ์” ในแง่มีเป็น “จำนวน” มาก และหลากหลาย “ประเภท” ใช้บรรยายได้ตั้งแต่ทรัพย์สินเงินทอง เนื้อหารายการ เนื้อหาหนังสือ ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ความคิด จินตนาการ อามรณ์ ความรู้สึก ฯลฯ เช่น

  • 丰富的经验
  • 知识非常丰富
  • 丰富多彩
  • 丰富的神话

คำตรงข้ามของ 丰富 [fēngfù] อุดมสมบูรณ์ คือ 缺乏 [quēfá] ขาดแคลน 、贫乏 [pínfá] ขาดแคลน  และ 匮乏 [kuìfá] ขาดแคลน

丰富 นอกจากเป็นคำคุณศัพท์ ยังเป็นคำกริยา (动词) ได้ด้วย เมื่อเป็นคำกริยาจะหมายถึง ทำให้ร่ำรวย, ทำให้อุดมสมบูรณ์, เพิ่มพูน เป็นต้น กรรมของกริยา 丰富 ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่นามธรรม (จับต้องไม่ได้) (แต่ก็ใช้กับสิ่งที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ด้วย) เช่น

  • 我想参加一些活动,丰富自己的经验。

2.富裕 [fùyù] (มั่งคั่งบริบูรณ์) เน้น “ความอุดมสมบูรณ์” ในแง่มีมาก มีเหลือกินเหลือใช้ ไม่ขาดแคลน หรือร่ำรวย มั่งคั่งบริบูรณ์นั่นเอง มักใช้บรรยายมาตรฐาน หรือระดับชีวิตความเป็นอยู่ เช่น

  • 富裕社会
  • 富裕生活

3.富有 [fùyǒu] (มั่งมี) เน้นความ “เป็นเจ้าของ”  หรือ “มี” วัตถุสิ่งของในปริมาณ หรือจำนวนมาก ใช้ได้ทั้งกับทรัพย์สินเงินทอง (จับต้องได้) และสิ่งที่เป็นนามธรรม สื่อความหมายในด้านบวก ทั้งนี้ 富有 นิยมใช้ในภาษาเขียนมากกว่า เช่น

  • 富有经验
  • 富有魅力
  • 富有生命力

คำตรงข้ามของ 富有 [fùyǒu] ความมั่งมี คือ 贫穷 [pínqióng] ความยากจน

富有ใช้เป็นคำกริยาได้ (เช่นเดียวกับ 丰富) หมายถึง “มีเป็นจำนวน หรือปริมาณมาก” ฯลฯ ทั้งนี้ กรรมของ 富有 โดยทั่วไปจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม (จับต้องไม่ได้) เช่น

  • 富有冒险精神
  • 富有民族特色
  • 富有的银行家

4.丰盛 [fēngshèng] (มากมายหลายอย่าง, มากมายหลากหลาย) ใช้เฉพาะกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ และนิยม (หรือส่วนใหญ่) ใช้กับอาหารการกินเท่านั้น สื่อถึงการมีอาหารการกิน “มาก” และ “ดี” หรือ “อุดมสมบรูณ์” เช่น

  • 丰盛的酒宴

คำตรงข้ามของ 丰盛 [fēngshèng] อุดมสมบูรณ์ คือ 贫乏 [pínfá] ขาดแคลน

ลองดูตัวอย่างประโยคกัน

  • 这本书的内容非常丰富。(เนื้อหาหนังสือ)
  • 中国人正在富裕起来,购买力越来越高。(มาตรฐาน/ระดับชีวิตความเป็นอยู่)
  • 这家公司的老板很富有。(ทรัพย์สินเงินทอง)
  • 昨天的晚会非常丰盛。(อาหารการกิน)

ตัวอย่างประโยค และวลีั (เพิ่มเติม) จาก 百度

  • 中国有丰富  的自然资源。
  • 我们生活在一个富裕的社会中。
  • 你到底有多富有啊?
  • 丰盛的自助晚餐

โดย Gunth Lpnm ใน Love Chinese

ความหมายของ 要紧 / 重要 / 严重 / 无所谓 / 紧张

อ.อี้ hsk & patจีน

(**ข้อสอบPAT7.4 มีนา54 / เทียบเท่าHSKระดับ3-4)

โจทย์:  你放心吧,医生跟我说伯伯的病不要紧。คำว่า 要紧 สามารถเเทนที่ด้วยตัวเลือกใด?
ตัวเลือก: 重要 / 严重 / 无所谓 / 紧张

อันว่า ผู้หญิงไม่ชอบเเสดงความรู้สึก เเต่มีสิทธิ์งอนถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เป็นสัจธรรมของโลก น้องเเพทก็เหมือนกันครับ หลายครั้งที่น้องเเพทไม่ยอมบอกตรงๆ เเต่เราต้องตอบให้ตรงใจน้องเเพท ข้อสอบข้อนี้ วัดความเข้าใจ ไม่ได้วัดการท่องจำ

ถ้าเราใช้หลักท่องจำ เราอาจตอบผิด เพราะ 要紧 มีความหมายครอบคลุมได้ตั้งเเต่ 重要 (สำคัญ), 严重 (ร้ายเเรง), 紧张(เครียด/เร่งรีบ) หรือเเปลว่า 急切 (เร่งรีบ) ก็ยังได้ เเล้วเเต่กรณีครับ

กรณีคำว่า 要紧 เเปลว่า สำคัญ เพราะเป็นรูปภาษาพูดของ 重要 เช่น ถ้าเราบอกว่า ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกคุณ เราจะพูดว่า 我有重要事情跟你说 / 我有要紧事跟你说

หรืออีกกรณีหนึ่ง 要紧 อาจจะมาจากคำว่า 不要紧 ก็ได้ 不要紧 เเปลว่า ไม่เป็นไร/ไม่เครียด/เรื่องเล็ก (=没关系) ถ้าเเปลตรงตัวเเบบนี้บางคนอาจจะเข้าใจผิดไปไกล คิดว่า 要紧 เเปลว่า เครียด/เรื่องใหญ่ จึง = 紧张 / 急切 ตึงเครียด/เร่งรีบ Continue reading

ความหมายของ 心眼, 干脆, 果断, 耐心

อ.อี้ hsk & patจีน

จีบน้องPAT ซอย7.4 ตอน สำนวนน้องแพท 心眼, 干脆, 果断, 耐心 …
ข้อสอบPAT7.4ประเภทความความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสำนวนเป็นข้อสอบที่ค่อนข้างยากสำหรับนักเรียนม.ปลาย เพราะคำศัพท์สำนวนที่ออกสอบบางครั้งก็ไม่มีในตำราเรียน แต่เกิดจากการผสมกันของคำโดดที่เราเคยผ่านตาในตำราเรียนมากกว่า อาการแรกที่เกิดกับนักเรียนคือ เอ๊ะ คำนี้เคยเห็น…แต่ทำไมอ่านโจทย์ไม่เข้าใจ?

มาดูตัวอย่างข้อนี้ครับ:

请选择下列句子中划线部分的正确解释:
เลือกคำที่มีความหมายตรงกับคำที่ขีดเส้นใต้:
他这个人心眼是好, 就是办事不干脆
1.果断
2.诚实
3.耐心
4.仔细

  • 心眼( xīnyǎn) = จิตใจ (* คำที่ความหมายคล้ายกันและเห็นในข้อสอบบ่อยๆได้แก่ 心肠 (xīncháng) จิตใจ)
  • 就是 (jiùshì) คำนี้ปกติแปลว่า ก็คือ… แต่ในกรณีนี้ เราต้องมองให้ออกมา มันเป็นรูปประโยค

“คำนาม+是好 , 就是+….” หรือ “คำนาม+好是好, 就是+….” ไม่สามารถแปลตรงตัวว่า ก็คือ…
แปลเป็นไทยว่า “…มันก็ดีอยู่หรอก แต่เสียตรงที่…” / “…ก็ดีอยู่หรอก แต่เสียอย่างเดียว…”

รูปประโยค “คำนาม+是好 , 就是+….” หรือ “คำนาม+好是好, 就是+….”

办事 (bànshì) ทำงาน / ทำอะไรก็ตาม / จัดการธุระ

不干脆 (bùgāncuì) ไม่เด็ดขาด 干=แห้ง 脆 = กรอบ แต่เมื่อสองคำรวมกัน กลายเป็นคำว่า “เด็ดขาด” (ประมาณว่า เปรียบเทียมได้กับสิ่งที่แห้งกรอบ ถ้าจะหัก ก็หักแล้วหักดังโป๊ะเลย ไม่มีงอ ไม่มีจังหวะยืดยาด)

  • 他这个人心眼好是好,就是办事不干脆。
    Tāzhègerénxīnyǎnhǎoshìhǎo ,jiùshìbànshìbùgāncuì。
    คนอย่างเขาจิตใจก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวตรงที่ทำอะไรไม่มีความเด็ดขาด

การเข้าใจที่ไปที่มาของสำนวนมันจะสำคัญตรงนี้แหล่ะครับ เมื่อเรารู้ที่ไปที่มาของคำว่า 干脆 (เด็ดขาด มาจากคุณสมบัติแห้งกรอบที่หักแล้วหักเลยไม่มียื้อ) เราก็สามารถเห็นความสัมพันธ์ของคำศัพท์ที่มีลักษรณะที่มาของคำคล้ายคลึงกัน อย่างช้อยส์ข้อ1  果断 (guǒduàn) 果=ผล 断 = ตัดขาด/ตัดสิน รวมความว่า เมื่อรู้ผลก็ตัดสินได้เลย ซึ่งก็แปลว่า “เด็ดขาด” นั่นเอง คำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ1 ครับ

ส่วนช้อยอื่นๆ 诚实 = ซื่อสัตย์ 耐心 = มีความอดทนอดกลั้น(ใจเย็น) 仔细 = ตั้งใจ/ละเอียดละออ

ความรู้เพิ่มเติม คำว่า อดทน ในภาษาจีนมีอยู่หลายคำ แต่ใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกัน

  • 耐心 (nàixīn) = มีความอดทนอดกลั้น(ใจเย็น)
  • 耐 = ทนทาน(มีคุณสมบัติทางกายภาพที่แข็งแกร่ง ใช้กับสิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ เช่น 耐用(nàiyòng)คุณภาพทนทาน/ใช้งานได้ดี
  • 忍 (rěn) = อดกลั้น(มีจิตใจที่แข็งแกร่ง หมายถึงทนความเจ็บปวด ทนต่ออารมณ์ )
  • 忍耐 = อดทนอดกลั้น เป็นรูปคำเต็มของ忍(ใช้กับจิตใจ)
  • 撑住 (chēngzhù) = อดทนไว้ / ฝืนไว้/ต้านไว้/อย่ายอมแพ้ เช่น คนกำลังจะตาย เราพยายามบอกเขาว่า “นายต้องอย่ายอมแพ้นะ / อดทนไว้นะ”

เห็นไหมครับว่า การเข้าใจที่มาของสำนวน และ รากศัพท์สำคัญมาก และการทบทวนท่องศัพท์ ควรจะใส่ใจกับคำประสม สำนวน เป็นพิเศษ ถ้าเราท่องแต่คำโดด เวลาเจอสำนวน คำประสม กลุ่มคำ หรือแม้แต่รูปประโยค เราก็จะงงครับ

ติดตามได้ใน…อ.อี้hsk&patจีน