คัมภีร์ “ไท่สั้งเหล่าจฺวินซฺวอฉางชิงจิ้งจิง” 《太上老君说常清静经》
เป็นคัมภีร์ที่สำคัญคัมภีร์หนึ่งของศาสนาเต๋า เป็นคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาวะของเต๋าและสรรพสิ่ง คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ของศาสนาเต๋านิกาย “เจิ้งอี” 《正一》เป็นคำสอนของไท่สั้งเหล่าจฺวิน 《太上老君说常清静经》
ไท้เสียงเหล่ากุง ไท้ซังเหล่าจวิน :จีนกลาง เจ้าสำนักศาสดาเต๋า อาจารย์ของเหล่าโป๊ยเซียนนั้น เดิมแซ่ลี้ 李 ชื่อยื้อ 耳 มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์โจว 周朝 เมื่อประมาณ 4 พันกว่าปีก่อน เกิดที่หมู่บ้านล่าย 瀨鄉 อำเภอขู่ 苦縣 แคว้นฉู่ 楚國 หรือ เล่าจื้อ Lao tze เป็นศาสดาของศาสนาเต๋า ซึ่งได้หล่อหลอมวิถีแห่งชีวิตและอัธยาศัยชาวจีนกว่า 2000 ปีมาแล้ว
- 道 [dào] เต๋า (ทาง)
- 悟 [wù] รู้แจ้ง
- 无 [wú] ไร้
- 生 [shēng] เกิด
- 寂 [jì] สงบ
- 空 [kōng] ว่าง
- 欲 [yù] ตัณหา
- 静 [jìng] สงบ
- 真 [zhēn] จริง
- 性 [xìng] จิตแท้
- 自性 [zì xìng] จิตเดิมแท้
- 悟性 [wùxìng] การบรรลุธรรม หรือรู้แจ้งสภาวะความจริงสูงสุด
- 空性 [kōng xìng] หลักสุญญตา, ความว่างปล่า
- 得道 [dédào] บรรลุเต๋า (วิถีที่แท้จริง)
- 清 [qīng] สะอาด
- 清静 [qīngjìng] สะอาดและสงบ
- 传 [chuán] ถ่ายทอด
- 圣道 [shèngdào] อริยมรรค (ทางศักดิ์สิทธิ์)
- 圣 [shèng] ศักดิ์สิทธิ์
- 众圣 [zhòngshèng] ทวยเทพ
- 爭 [zhēng] วิวาท
- 上士 [shàngshì] บุคคลระดับสูง, บัณฑิต, เบื้องบน
- 下士 [xiàshì] บุคคลระดับล่าง, คนพาล, เบื้องล่าง
- 德 [dé] คุณธรรม
- 道德 [dàodé] คุณธรรม
- 明 [míng] แจ้งกระจ่าง
- 无形 [wúxíng] ไร้รูป
- 众生 [zhòngshēng] สรรพชีวิต
- 观空亦空 [guānkōng yìkōng] มนสิการความว่างคือว่าง
- 空无所空 [kōngwú suǒkōng] ความว่างหามีไม่
- 所空既无 [suǒkōng jìwú] ความว่างก็คือไร้
- 无无亦无 [wúwú yìwú] ไร้ไร้ก็คือไร้
- 无无既无 [wúwú jìwú] ไร้ไร้ที่สุดแล้วก็คือไร้
- 湛然常寂 [zhànrán chángjì] ย่อมเข้าถึงความสงบ
- 寂无所寂 [jìwú suǒjì] สงบไร้สงบ
- 欲豈能生 [yùqǐ néngshēng] ตัณหาจะเกิดได้ไฉน
- 欲既不生 [yùjì bùshēng] เมื่อตัณหาไม่เกิด
- 即是真静 [jíshì zhēnjìng] จึงเป็นความนิ่งที่แท้จริง
- 真常应物 [zhēncháng yìngwù] จึงควรแก่การงาน
- 真常得性 [zhēncháng déxìng] เข้าถึงจิตแท้
- 常应常静 [chángyīng chángjìng] ควรแก่การงานและสงบมาก
- 常清静矣 [chángqīng jìngyǐ] สะอาดและสงบแล้ว
- 如此清静 เมื่อสะอาดและสงบเช่นนี้
- 渐入真道 [jiànrù zhēndào] ย่อมเข้าถึงเต๋าที่แท้จริง
- 既入真道 เหตุที่เข้าถึงเต๋า
- 名为得道 จึงได้ชื่อว่าบรรลุเต๋า
- 虽名得道 ที่ชื่อว่าบรรลุเต๋า
- 实无所得 แท้จริงจะมีการบรรลุก็หาไม่
- 为化众生 [wèihuà zhòngshēng] เพื่อสั่งสอนสรรพชีวิต
- 名为得道 [míngwéi dédào] จึงได้บัญญติว่า “บรรลุเต๋า”
- 能悟之者 ชนผู้รู้แจ้ง
- 可传圣道 [kěchuán shèngdào] จักสามารถถ่ายทอดอริยมรรค
- 上士无爭 [shàngshì wúzhēng] บัณฑิตไร้วิวาท
- 下士好爭 [xiàshì hǎozhēng] คนพาลมักวิวาท
- 上德不德 [shàngdé bùdé] ผู้ทรงคุณธรรมไร้คุณธรรม
- 下德执德 ผู้ไร้คุณธรรมยึดถือธรรม
- 执著之者 ผู้ยึดมั่นนั้น
- 不明道德 [bùmíng dàodé] ไม่แจ้งในคุณธรรม
- 众生所以不得真道者 สรรพชีวิตไม่แจ้งในเต๋าที่แท้จริง
- 仙人葛翁曰 เซียนผู้เฒ่าแซ่ “เก๋อ”กล่าวว่า
- 吾得真道 ข้าบรรลุเต๋า
- 曾诵此经万遍 เหตุเพราะสวดสาธยายคัมภีร์นี้หมื่นจบ
- 此经是天人所習 คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ของเทพ
- 不传下士 ไม่ถ่ายทอดสู่เบื้องล่าง
- 吾昔受之于东华帝君 ข้าได้รับถ่ายทอดมาจาก “ตงหัวตี้จฺวิน”
- 东华帝君受之于金阙帝君 “ตงหัวตี้จฺวิน”ได้รับมาจาก “จินเชฺว่ตี้จฺวิน”
- 金阙帝君受之于西王母 “จินเชฺว่ตี้จฺวิน”ได้รับมากจาก “ซีหวางหมู่”
- 西王一线乃口口相传 ถ่ายทอดกันปากต่อปาก
- 不记文字 ไม่มีการจดบันทึก
- 吾今于世 บัดนี้ข้า
- 书而录之 ได้บันทึกไว้
- 上士悟之 บุคคลระดับสูง
- 升为天仙 จักบรรลุเป็นเซียน
- 中士修之 บุคคลระดับกลาง
- 南宮列官 จักได้เป็นขุนนางที่ตำหนักใต้
- 下士得之 บุคคลระดับล่าง
- 在世长年 เมื่อสิ้นชาตินี้
- 遊行三界 จักท่องเที่ยวสามภพ
- 升入金门 จึงเข้าสู่ประตูทอง
- 左玄真人曰 “จฺว้อเสฺวียนเจินเหริน”กล่าวว่า
- 学道之士 บัณฑิตผู้ศึกษาเต๋า
- 持诵此经者 หมั่นสวดสาธยายคัมภีร์นี้
- 即得十天善神 จักมีเทพทั้งสิบชั้นฟ้า
- 拥护其身 คอยปกปักษ์อารักษ์
- 然后玉符保神 จากนั้นยันต์หยกคุ้มจิต
- 金液炼形 ฝึกขั้น จินเย่
- 形神俱妙 ดวงจิตบรรลุ
- 与道合真 เป็นหนึ่งกับเต๋า
- 正乙真人曰 “เจิ้งอี่เจินเหริน”กล่าวว่า :
- 人家有此经 ชนใดมีคัมภีร์นี้
- 悟解之者 จักเป็นผู้รู้แจ้ง
- 灾障不干 ภยันตรายไม่อาจแผ้วพาน
- 众圣护门 [zhòngshèng hùmén] ทวยเทพคุ้มครอง
- 神升上界 จิตสู่เบื้องบน
- 朝拜高真 กราบไหว้เป็นจริง
- 功滿德就 กุศลบริบูรณ์
- 相感帝君 ได้พบ “ตี้จฺวิน”
- 诵持不退 สวดสาธยายมิรู้คลาย
- 身腾紫云 กายขี่เมฆม่วง
- 大道无形 เต๋าไร้รูป
- 生育天地 กำเนิดฟ้าดิน
- 大道无情 เต๋าไร้จิต
- 运行曰月 ขับเคลื่อนสุริยันจันทรา
- 大道无名 เต๋าไร้นาม
- 长养万物 หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง
- 吾不知其名強名曰道 ข้าไม่รู้จะเรียกสิ่งใด จึงขนานนามว่า “เต๋า”
- 夫 道者 อันเต๋านั้น :
- 有清有浊 มีสะอาด, มีสกปรก
- 有动有静 มีเคลื่อน, มีนิ่ง
- 天清地浊 ฟ้าสะอาด, ดินสกปรก
- 天动地静 ฟ้าเคลื่อน, ดินนิ่ง
- 男清女浊 ชายสะอาด, หญิงสกปรก
- 男动女静 ชายเคลื่อน, หญิงนิ่ง
- 降本流末 ไหลเวียนเปลี่ยนผัน
- 而生万物 ก่อกำเนิดสรรพสิ่ง
- 清者浊之源 สะอาดมีสกปรกเป็นราก
- 动者静之基 เคลื่อนมีนิ่งเป็นฐาน
- 人能常清静 มนุษย์สามารถสะอาดและนิ่ง
- 天地悉皆歸 ฟ้าดินรวมกลับคืน
วรรคนี้นั้นท่านอธิบายของสภาวะธาตุทั้ง 2 คือ “หยาง” 《阳》 และ “อิน” 《阴》 ธาตุทั้ง 2 นี้ ไม่ใช่เต๋า หาก แต่เต๋าได้ให้กำเนิดธาตุทั้ง 2 ขึ้นโดยแยกออกมาจากเต๋า โดยธรรมชาติของธาตุทั้ง 2 นั้น ธาตุหยางมีลักษณะเคลื่อนไหว, แข็งกร้าว, หยาบ, ร้อน, ลอย, สะอาด ฯลฯ ส่วนธาตุอินมีลักษณะนิ่ง, อ่อน, ละเอียด,เย็น,จม, สกปรก ฯลฯ ธาตุทั้ง 2 นี้มีลักษณะตรงกันข้าม ปฏิปักขธรรม แม้จะอยู่ตรงกันข้ามแต่ไม่อาจแยกออกจากกัน เมื่อธาตุทั้ง 2 ทำปฏิกิริยา เชิงสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ต่อกันและก่อให้เกิดสรรพสิ่ง โดยภาวะเชิงสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวนี้มีความหลายนัยยะต่างๆ จึงก่อให้เกิดความหลากหลายในสรรพสิ่ง ทั้งที่มีและไม่มีชีวิต ทั้งนี้ที่กล่าวว่าชายสะอาดหญิงสกปรกนั้น ไม่ใช่การเหยียดหยามทางเพศ หากแต่เป็นการอธิบายถึงลักษณะของธาตุทั้ง 2 โดยคำว่า “ชาย”นั้นหมายถึงลักษณะแข็งกร้าวของธาตุหยางซึ่งมีลักษณะเหมือนเพศชาย และคำว่า “หญิง”นั้นหมายถึงลักษณะอ่อนโยนของธาตุอินซึ่งมีลักษณะเหมือนเพศหญิง ต่อมาท่านอธิบายว่า หากจิตของมนุษย์สะอาด หยาง และนิ่ง อิน โดยวลีที่ว่า “ฟ้า หยาง ดิน อิน รวมกลับคืน” หมายถึง เมื่อหยางและอินรวมเป็นหนึ่ง ก็จะคืนสู่สภาวะเดิมคือ “เต๋า”ซึ่งก็หมายถึงการหลุดพ้นออกจากวัฏฏะสงสารนั่นเอง
- 夫人神好清 ใจมนุษย์นั้นสะอาด
- 而心扰之 แต่กลับวุ่นวาย
- 人心好静 ใจมนุษย์สงบ
- 而欲牵之 แต่ตัณหาชักพา
- 常能遣其欲 สามารถกำจัดตัณหาทั้งปวงได้
- 而心自静 ใจย่อมสงบ
- 澄其心 เมื่อใจสะอาด
- 而神自清 จิตย่อมสะอาด
- 自然六欲不生 เมื่อนั้นตัณหาย่อมไม่เกิด
- 三毒消灭 พิษทั้ง 3 ย่อมสูญสลาย
- 所以不能者 ชนผู้ไม่สามารถ
- 为心未澄 ชำระจิตให้สะอาด
- 欲未遣也 แสดงว่าตัณหายังไม่ถูกกำจัด
วรรคนี้ท่านอธิบายว่าแต่เดิมจิต มนุษย์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า กล่าวคือสะอาด หยาง และ สงบ นิ่ง รวมเป็นหนึ่ง แต่ ถูกตัณหาชักพาให้วุ่นวาย และไม่สงบ กล่าวคือ แยกเป็นเป็นหยางและอิน แต่ไม่แยกออกจากกันเพราะแยกออกจากกันไม่ได้ การพ้นจากวัฏฏะนั้นไม่ใช่การที่เราจะทำให้ใจสะอาดและสงบ หากแต่อยู่ที่การกำจัดตัณหา เมื่อสิ้นตัณหา ธรรมชาติของจิต ย่อมจักหวนคืนสู่สภาพเดิมคือสะอาดและสงบโดยธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องทำอะไร และเมื่อนั้นพิษทั้ง 3 ย่อมสูญสลายไปเอง พิษทั้ง 3 หมายถึงอกุศลเหตุ 3 คือ โลภะ, โทสะ และโมหะ - 能遣之者 ชนผู้สามารถกำจัดตัณหาได้
- 內观其心 เมื่อมนสิการภายใน
- 心无其心 ย่อมแจ้งว่าไร้จิต
- 外观其形 เมื่อมนสิการภายนอก
- 形无其形 ย่อมแจ้งว่าไร้รูป
- 远观其物 เมื่อมนสิการสรรพสิ่ง
- 物无其物 ย่อมแจ้งว่าไร้ซึ่งสรรพสิ่ง
- 三者既无 เมื่อแจ้งว่าสรรพสิ่งไร้
- 唯见于空 ดังนี้แล ชื่อว่าแจ้งในสุญญตา
บทว่า “ชนผู้สามารถกำจัดตัณหาได้ เมื่อมนสิการภายใน ย่อมแจ้งว่าไร้จิต เมื่อมนสิการภายนอก ย่อมแจ้งว่าไร้รูป เมื่อมนสิการสรรพสิ่ง ย่อมแจ้งว่าไร้ซึ่งสรรพสิ่ง เมื่อแจ้งว่าสรรพสิ่งไร้ดังนี้แล ชื่อว่าแจ้งในสุญญตา” ท่านหมายเอา เมื่อประหารแล้วซึ่งตัณหาได้ เมื่อพิจารณาลงในสภาวธรรม ย่อมรู้ชัดว่า รูปและนาม จิต ไม่มีอยู่จริง ไร้ เป็นเพียงมายาภาพที่คนที่มีอุปาทานสำคัญผิดไปว่ามีอยู่จริง เมื่อว่ารูปและนามไม่มีอยู่จริงแล้วย่อมไม่มีซึ่งสรรพสิ่ง เหตุใดถึงกล่าวว่ารูปและนามไม่มีอยู่จริง ดังที่กล่าวแล้วว่าไม่มีในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งไรๆก็ไม่มี หรือขาดสูญ หากแต่ไม่มีจากอัตตาที่จะดำรงอยู่ได้ เป็นเพียงอาศัยเหตุปัจจัยประชุมกันแล้วบังเกิดขึ้น เมื่อสิ้นปัจจัยแล้วย่อมแตกดับไป หาได้มีสิ่งใดเป็นเที่ยงแท้ยั่งยืน และยิ่งไม่มีสิ่งใดที่เป็นเกิดขึ้นตั้งอยู่เป็นอิสระธรรม คือความเป็นใหญ่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยทั้งปวงต่างก็เกิดขึ้น, ตั้งอยู่,ดับไป หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป เมื่อรู้ชัดดังนี้จึงชื่อว่า “สุญญตา” ความว่าง ในส่วนนี้ท่านอธิบายแบบเหตุไปหาผล และผลไปหาเหตุ กล่าวคือ เมื่อกำจัดสิ้นซึ่งตัณหา เหตุ ย่อมแจ้งในสุญญตา ผล และ ที่แจ้งในสุญญตา ผล เพราะ กำจัดแล้วซึ่งตัณหา เหตุ - 观空亦空 มนสิการความว่างคือว่าง
- 空无所空 ความว่างหามีไม่
- 所空既无 ความว่างก็คือไร้
- 无无亦无 ไร้ไร้ก็คือไร้
- 无无既无 ไร้ไร้ที่สุดแล้วก็คือไร้
- 湛然常寂 ย่อมเข้าถึงความสงบ
- 寂无所寂 สงบไร้สงบ
- 欲豈能生 ตัณหาจะเกิดได้ไฉน
- 欲既不生 เมื่อตัณหาไม่เกิด
- 即是真静 จึงเป็นความนิ่งที่แท้จริง
- 真常應物 จึงควรแก่การงาน
- 真常得性 เข้าถึงจิตแท้
- 常應常静 ควรแก่การงานและสงบมาก
- 常清静矣 สะอาดและสงบแล้ว
- 如此清静 เมื่อสะอาดและสงบเช่นนี้
- 渐入真道 ย่อมเข้าถึงเต๋าที่แท้จริง
- 既入真道 เหตุที่เข้าถึงเต๋า
- 名为得道 จึงได้ชื่อว่าบรรลุเต๋า
- 虽名得道 ที่ชื่อว่าบรรลุเต๋า
- 实无所得 แท้จริงจะมีการบรรลุก็หาไม่
- 为化众生 เพื่อสั่งสอนสรรพชีวิต
- 名为得道 จึงได้บัญญัติว่า “บรรลุเต๋า”
- 能悟之者 ชนผู้รู้แจ้ง
- 可传圣道 จักสามารถถ่ายทอดอริยมรรค 。
บทว่า “มนสิการว่าความว่างคือว่าง” ท่านอธิบายว่า ภาวะที่มนสิการแจ้งว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างนั้น ก็เป็นความว่าง กล่าวคือจะได้มีอัตตา ตัวตน ที่จะพิจารณาก็หาไม่ ทั้งนี้เพราะมีบางคนคิดว่า เมื่อมีการแจ้งภาวะสุญญตา ย่อมมีตัวตนที่รู้แจ้งในสุญญตา ซึ่งแท้ที่จริง สุญญตาคือความว่าง เมื่อว่างจากตัวตนย่อมไม่มีการดำรงอยู่ ท่านจึงแสดงว่า “ความว่าง สุญญตา คือความไร้ ไม่มี ” เมื่อไม่มีแล้วจึงไม่มีความว่างให้รู้แจ้ง, ไม่มีผู้รู้แจ้ง, ไม่มีภาวะแห่งการรู้แจ้ง ด้วยนัยยะดังกล่าวนี้จึงไม่มีซึ่งความสงบ ไม่มีทั้งรูปและจิต นาม ย่อมไม่มีตัณหาให้เกิด จึงเป็นความนิ่งและสงบที่แท้จริง เป็นความนิ่งและสงบ ที่ไม่ได้นิ่งและสงบจากอุปาทาน, อัตตา และสิ่งสมมุติ เป็นความสงบที่แท้จริงพ้นแล้วจากเหตุปัจจัยทั้งปวง ต่อมาท่านแสดงว่า “เหตุที่เข้าถึงเต๋า จึงได้ชื่อว่าบรรลุเต๋า แท้จริงจะมีการมีบรรลุก็หาไม่ เพื่อสั่งสอนสรรพชีวิต จึงได้บัญญัติว่าบรรลุเต๋า” ดังที่กล่าวเบื้องต้นว่า ธรรมทั้งปวง ทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม คือความว่าง สุญญตา ดังนี้แล้วย่อมไร้แล้วซึ่งความว่างให้รู้แจ้ง, ไร้แล้วซึ่งผู้รู้แจ้ง, ไร้แล้วซึ่งภาวะแห่งการรู้แจ้ง แต่เพื่อสั่งสอนสรรพชีวิตจึงได้บัญญัติคำว่า “บรรลุเต๋า” บรรลุธรรม ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจต่อผู้ศึกษาธรรมด้วยเหตุผลทางด้านการสื่อสารและทำความ เข้าใจ
- 上士无爭 บัณฑิตไร้วิวาท
- 下士好爭 คนพาลมักวิวาท
- 上德不德 ผู้ทรงคุณธรรมไร้คุณธรรม
- 下德执德 ผู้ไร้คุณธรรมยึดถือธรรม
- 执著之者 ผู้ยึดมั่นนั้น
- 不明道德 ไม่แจ้งในคุณธรรม
ธรรมชาติของบัณฑิต ย่อมเป็นผู้ให้ประโยชน์และเป็นมิตรต่อคนทุกฝ่าย ซึ่งตรงข้ามกับคนพาลที่เอาความคิด, ความเห็น, ความต้องการเป็นหลักจนนำไปสู่การวิวาท และความขัดแย้งนานาประการ ในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่การประหัตประหารทำลายซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงแสดงว่า “บัณฑิตไร้วิวาท คนพาลมักวิวาท” ต่อมาท่านแสดงว่า “ผู้ทรงคุณธรรมไร้คุณธรรม ผู้ไร้คุณธรรมยึดถือธรรม ผู้ยึดมั่นนั้น ไม่แจ้งในคุณธรรม” ทังนี้เพราะเมื่อบัณฑิตพิจารณาธรรมทั้งปวงว่าเป็นสุญญตา ย่อมแจ้งชัดว่าไร้ซึ่งแก่นสารแห่งการยึดถือ ย่อมคลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง อุปมาดังชนผู้ข้ามทะเลแห่งทุกข์ ย่อมจักต้องอาศัยพาหนะหรือเรือแห่งธรรม และเมื่อถึงฝั่งแล้วย่อมจักต้องละทิ้งซึ่งเรือหรือธรรม ว่าหากยังยึดมั่นในธรรมย่อมจักไม่อาจขึ้นฝั่งคือการพ้นจากทะเลแห่งทุกข์ อนึ่งชนผู้ทรงคุณธรรมนั้น มีคุณธรรมเป็นปกติวิสัย จะยึดมั่นว่าตนเป็นผู้ทรงธรรม ตนจักประพฤติคุณธรรมก็หาไม่ ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ไร้คุณธรรม จะทำการไรไรก็อ้างคุณธรรม เน้นที่รูปแบบวิธีการปฏิบัติมากกว่าเนื้อหาสาระ มักคิดว่าตนเป็นคนดี ตนจักทำความดี และมักตั้งคำถามว่า เหตุใดทำดีแล้วไม่ได้ดี ซึ่งการตั้งคำถามลักษณะนี้ เป็นการทำดีเพื่อหวังผล เป็นการทำดีเพียงแค่เปลือก ซึ่งต่างกับผู้ทรงคุณธรรม ที่ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน และทำดีต่อไปแม้จะถูกทำร้าย และเอารัดเอาเปรียบ เพราะความดีคือการให้ ไม่ใช่การได้ เขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าคุณธรรมที่แท้จริงเป็นอย่างไร จึงเป็นผู้ไร้คุณธรรมที่แท้จริง ดังที่ท่านแสดงว่า “ผู้ทรงคุณธรรมไร้คุณธรรม ผู้ไร้คุณธรรมยึดถือธรรม ผู้ยึดมั่นนั้น ไม่แจ้งในคุณธรรม”
- 众生所以不得真道者 สรรพชีวิตไม่แจ้งในเต๋าที่แท้จริง
- 为有妄心 จึงมีอุปาทาน
- 既有妄心 เพราะมีอุปาทาน
- 即惊其神 จึงมีความกลัว
- 既惊其神 เมื่อมีความกลัว
- 即著万物 จึงมีสรรพสิ่ง
- 既著万物 เมื่อมีสรรพสิ่ง
- 即生贪求 จึงมีความโลภ
- 既生贪求 เมื่อมีความโลภ
- 即是烦恼 ก็คือความทุกข์
- 烦恼妄想 ความทุกข์, อุปาทาน
- 忧苦身心 ทุกข์กายและใจ
- 便遭浊辱 พบกับความสกปรกแลเหยียดหยาม
- 流浪生死 เวียนว่ายเกิดตาย
- 常沉苦海 จมอยู่ในทะเลทุกข์
- 永失真道 สูญเสียเต๋าที่แท้จริง
- 真常之道 เต๋าที่แท้จริงนั้น
- 悟者自得 ผู้รู้แจ้งจักบรรลุได้เอง
- 得悟道者 ผู้บรรลุเต๋านั้น
- 常清静矣 บริสุทธิ์และสงบยิ่งนัก !
วรรคนี้ท่านอธิบายว่า สรรพชีวิตไม่แจ้งในเต๋าจึงเกิดอุปาทาน, ความกลัว ตลอดจนถึงการมีอยู่ของสรรพสิ่ง และการเวียนว่ายตายเกิดตามลำดับ ซึ่งคำว่า “จึงมีสรรพสิ่ง” นั้น ท่านหมายว่า เมื่อไม่แจ้งเต๋าจึงมีอุปาทาน เมื่อมีอุปาทานคือความสำคัญผิดว่ามีตัวตน จึงทำให้สำคัญผิดว่ามีสรรพสิ่ง ตลอดจนถึงการมีอยู่ของสรรพชีวิต ซึ่งแท้จริงแล้วหามีอยู่ไม่ เมื่อสำคัญผิดว่ามีจึงยึดมั่นถือมั่น, เกิดโลภ, โกรธ และหลง ด้วยเหตุนี้จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดมิรู้สิ้น จนต่อเมื่อรู้แจ้งในเต๋า คือสภาวธรรมว่าว่างเปล่าหาอัตตาตัวตนมิได้ ก็จะพ้นจากอุปาทานทั้งปวง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นความบริสุทธิ์ วิสุทธิ และ สงบ สันติ ที่แท้จริง
ใน อวสานแห่งคัมภีร์ “ไท่สั้งเหล่าจฺวินซฺวอฉางชิงจิ้งจิง” 《太上老君说常清静经》 ได้ปรากฏซึ่งคำกล่าวของเทพปรมาจารย์ทั้ง 3 โดยหนึ่งในนั้นคือ “เก๋อเทียนซือ” 《葛天师》 ผู้รจนาคัมภีร์นี้ คำกล่าวของเทพปรมาจารย์ทั้ง 3 นั้น แสดงถึงผลานิสงส์แห่งการสวดสาธยายคัมภีร์นี้ ทั้งนี้ด้วยเหตุ 2 ประการคือ เพื่อให้คัมภีร์นี้ได้รับการเผยแพร่สืบทอดต่อไป และเมื่อผู้สวดสาธยายสวดไปมากๆก็จะมีการตรึกในอรรถและพยัญชนะ เมื่อนานเวลาผ่านไปนานขึ้นการสาธยายบ่อยก็ได้ความคิดและมุมมองที่ชัดเจนมาก ขึ้น และในบัณฑิตที่มีปัญญาย่อมจักบรรลุธรรมได้ในที่สุด โดย ในคำกล่าวของเทพปรมาจารย์ทั้ง 3 มีบางคำที่เป็นศัพท์เฉพาะทางในการปฏิบัติสมาธิของศาสนาเต๋าซึ่งคนที่ไม่เคย ศึกษาในด้านนี้อาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
คัมภีร์ “ไท่สั้งเหล่าจฺวินซฺวอฉางชิงจิ้งจิง” 《太上老君说常清静经》 พร้อมทั้งอรรถาธิบายก็อวสานลงแต่เพียงนี้ ที่สุดนี้ขอสรรพชีวิตทั้งปวงจงเป็นผู้นิรทุกข์ พบกับสุขอันเกิดจากวิสุทธิและสันติภาวะ ตามนัยคัมภีร์ “ไท่สั้งเหล่าจฺวินซฺวอฉางชิงจิ้งจิง” 《太上老君说常清静经》นี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ……….
อ้างอิงจาก : https://daosanqing.spaces.live.com