战国时代,有一个叫公明仪的音乐家,他能作曲也能演奏,七弦琴弹得非常好,弹的曲子优美动听,很多人都喜欢听他弹琴,人们很敬重他。
ใน สมัยโบราณ มีนักดนตรีชื่อดังคนหนึ่งชื่อ กงหมิงอี๋ เขาแต่งเพลงได้ เล่นดนตรีก็เป็น เขาเล่นพิณ 7 สายได้ไพเราะน่าฟัง ทำให้มีผู้คนมากมายชอบที่จะฟังเขาเล่น โดยทุกคนต่างก็เคารพนับถือในตัวเขามาก แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว กงหมิงอี๋ก็เคยก่อเรื่องตลกๆอยู่บ้างเหมือนกัน
公明仪不但在室内弹琴,遇上好天气,还喜欢带琴到郊外弹奏。有一天,他来到郊外,春风徐徐地吹着,垂柳轻轻地动着,一头黄牛正在草地上低头吃草。公明仪一时兴致来了,摆上琴,拨动琴弦,就给这头牛弹起了最高雅的乐曲《清角之操》来。老黄牛在那里却无动于衷,仍然一个劲地低头吃草。
กงหมิงอี๋ไม่เพียงเล่นพิญอยู่แต่ในบ้าน วันไหนอากาศดีๆเขาก็ชอบหอบหิ้วพิณออกไปเล่นที่นอกเมือง วันหนึ่ง เมื่อเขาออกไปถึงนอกเมืองปะกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิโชยมาอ่อนๆ กิ่งหลิวที่ลู่ลงก็โบกไปส่ายมาอยู่ไหวๆ วัวตัวหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเล็มหญ้าอยู่ จู่ๆเขาก็นึกสนุกขึ้นมาจึงหยิบพิณขึ้นมาวางและบรรเลงเพลงให้วัวตัวนั้นฟัง แต่วัวตัวนั้นกลับเฉยเมยและกินหญ้าของมันต่อไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
公明仪想,这支曲子可能太高雅了,该换个曲调,弹弹小曲。老黄牛仍然毫无反应,继续悠闲地吃草。
กงหมิงอี๋คิดอยู่ในใจว่า เพลงบทนี้อาจจะสูงส่งเกินไป ลองเปลี่ยน ไปเล่นเพลงพื้นๆธรรมดาๆน่าจะดีกว่า แต่วัวแก่ตัวนั้นก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาตอบรับใดๆทั้งสิ้น มันยังคงกินหญ้าอย่างสบายอารมณ์ต่อไปดังเดิม
公明仪拿出自己的全部本领,弹奏最拿手的曲子。这回呢,老黄牛偶尔甩甩尾巴,赶着牛虻,仍然低头闷不吱声地吃草。
最后,老黄牛慢悠悠地走了。换个地方去吃草了。
กงหมิงอี๋แสดงความสามารถที่มีอยู่ในตัวทั้งหมดบรรเลงพิณที่เขาเล่นได้ไพเราะ ที่สุด บางครั้งวัวแก่ตัวนั้นก็ส่ายหางไปมาเพื่อไล่แมลงที่มาตอม จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินหญ้าของมันต่ออย่างเงียบๆ สุดท้าย วัวแก่ตัวนั้นก็เดินจากไปอย่างช้าๆเพื่อเปลี่ยนไปกินหญ้าตรงบริเวณอื่น
公明仪见老黄牛始终无动于衷,很是失望。人们对他说:”你不要生气了!不是你弹的曲子不好听,是你弹的曲子不对牛的耳朵啊!”最后,公明仪也只好叹口气,抱琴回去了。真是自找没趣。
กงหมิงอี๋รู้สึกผิดหวังมากที่เขาอุตส่าห์ดีดพิณอยู่เป็นเวลานาน แต่จนแล้วจนรอดวัวแก่ตัวนั้นก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย ในที่สุด เขาก็ได้แต่ทอดถอนใจและหอบหิ้วพิณกลับบ้านไป
*** สำนวน ‘สีซอให้ควายฟัง’ หรืออีกชื่อว่า ‘ดีดพิณให้วัวฟัง’ อุปมาถึง การพูดเรื่องเหตุผลกับคนที่ไม่มี(ไม่เข้าใจ)เหตุผลว่า เป็นการเสียแรงเปล่า และมักจะใช้พูดเสียดสีหรือยั่วล้อคนที่เอาแต่พูดโดยไม่สนใจคนฟัง
อ้างอิงคำแปลจาก: https://www.thaigoodview.com/node/70304