Category Archives: นิทานสำนวนสุภาษิตจีน : 成语故事

สุภาษิตจีน : ถอยให้ 90 ลี้ [退避三舍]

สุภาษิตจึน

退避三舍 [tuìbìsānshě] ถอยให้ 90 ลี้

春秋时候,晋献公听信谗言,杀了太子申生,又派人捉拿
申生的弟弟重耳。重耳闻讯,逃出了晋国,在外流忘十几年。
经过千幸万苦,重耳来到楚国。
楚成王认为重耳日后必有大作为,就以国群之礼相迎,待他如上宾。
一天,楚王设宴招待重耳,两人饮洒叙话,气氛十分融洽。
忽然楚王问重耳:“你若有一天回晋国当上国君,该怎么报答
我呢?”重耳略一思索说:“美女待从、珍宝丝绸,大王您有的
是,珍禽羽毛,象牙兽皮,更是楚地的盛产,晋国哪有什么珍
奇物品献给大王呢?”楚王说:“公子过谦了。话虽然这么说,
可总该对我有所表示吧?”重耳笑笑回答道:“要是托您的福。
果真能回国当政的话,我愿与贵国友好。

假如有一天,晋楚国之间发生战争,我一定命
令军队先退避三舍(一舍等于三十里),如果还不能得到您的
原谅,我再与您交战。”
四年后,重耳真的回到晋国当了国君,就是历史上有名的晋文公。
晋国在他的治理下日益强大。
公元前633年,楚国和晋国的军队在作战时相遇。晋文公
为了实现他许下的诺言,下令军队后退九十里,驻扎在城濮。
楚军见晋军后退,以为对方害怕了,马上追击。晋军利用楚军
骄傲轻敌的弱点,集中兵力,大破楚军,取得了城濮之战的胜利。
故事出自《左传•僖公二十二年》。

成语“退避三舍”比喻不与人相争或主动让步。


春秋 [chūnqiū] ยุคชุนชิว
时候 [shíhòu] ช่วงเวลา
听信 [tīngxìn] เชื่อว่า
谗言 [chányán] คำพูดที่ใส่ร้าย
太子 [tàizǐ] เจ้าชาย
捉拿 [zhuōná] จับ, จับกุม
弟弟 [dìdi] น้องชาย
耳闻 [ěrwén] ได้ยินว่า
外流 [wàiliú] ไหลออกนอก
经过 [jīngguò] ผ่าน
来到 [láidào] มาถึง
认为 [rènwéi] เข้าใจว่า
日后 [rìhòu] ในอนาคต
作为 [zuòwéi] การกระทำ
如上 [rúshàng] ดังกล่าวมา
一天 [yītiān] ทั้งวัน
设宴 [shèyàn] จัดงานเลี้ยงรืืนเริง
招待 [zhāodài] ต้อนรับ
气氛 [qìfēn] บรรยากาศ
十分 [shífēn] เต็มไปด้วย
融洽 [róngqià] ซึ่งกลมเกลียวกัน
忽然 [hūrán] ทันใดนั้น
国君 [guójūn] กษัตยิ์
报答 [bàodá] ตอบแทน
思索 [sīsuǒ] คิดหาคำตอบ
珍宝 [zhēnbǎo] เพชรนิลจินดา
丝绸 [sīchóu] ผ้าไหม
大王 [dàwáng] ราชา
有的是 [yǒudéshì] มีจำนวนมาก
羽毛 [yǔmáo] ขนนก
象牙 [xiàngyá] งาช้าง
盛产 [shèngchǎn] ผลิตมากมาย
珍奇 [zhēnqí] แปลกและล้ำค่า
物品 [wùpǐn] สิ่งของ
过谦 [guòqiān] ถ่อมตัวเกินไป
虽然 [suīrán] แม้ว่า
有所 [yǒusuǒ] ค่อนข้าง
表示 [biǎoshì] แสดงให้เห็น
回答 [huídá] ตอบ
果真 [guǒzhēn] จริงๆ
回国 [huíguó] กลับประเทศ
当政 [dāngzhèng] อยู่ในอำนาจ
友好 [yǒuhǎo] เพื่อนสนิท
假如 [jiǎrú] สมมติว่า
之间 [zhījiān] ตรงกลาง
发生 [fāshēng] เกิดขึ้น
战争 [zhànzhēng] สงคราม
一定 [yīdìng] แน่นอน
命令 [mìnglìng] คำสั่ง
军队 [jūnduì] กองกำลังทหาร, กองทัพ
退避三舍 [tuìbìsānshě] ถอย 90 ลี้ (เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา)
等于 [děngyú] เท่ากับ
如果 [rúguǒ] ถ้าหากว่า
不能 [bùnéng] ไม่สามารถ
得到 [dédào] ได้รับ
原谅 [yuánliàng] ให้อภัย
交战 [jiāozhàn] ทำสงครามกัน
真的 [zhēnde] จริงๆ, แท้จริง
历史 [lìshǐ] ประวัติศาสตร์
有名 [yǒumíng] มีชื่อเสียง
治理 [zhìlǐ] ปกครอง, บริหาร
日益 [rìyì] ดียิ่งขึ้นทุกๆวัน
强大 [qiángdà] ยิ่งใหญ่, เกรียงไกร
公元前 [gōngyuánqián] ก่อนคริสต์ศักราช
作战 [zuòzhàn] ทำสงครามกัน
相遇 [xiāngyù] พบ, เผชิญหน้า
为了 [wèile] เพื่อ
实现 [shíxiàn] เป็นจริง
诺言 [nuòyán] สัญญา
下令 [xiàlìng] ออกคำสั่ง
后退 [hòutuì] ถอดกลับ
驻扎 [zhùzhá] ตั้งมั่น
对方 [duìfāng] ฝ่ายตรงข้าม
害怕 [hàipà] กลัว
马上 [mǎshàng] ทันที
追击 [zhuījī] รุกไล่โจมตี
利用 [lìyòng] ประยุกต์ใช้
骄傲 [jiāo’ào] ความภาคภูมิใจ, หยิ่งผยอง
轻敌 [qīngdí] ประมาทข้าศึก
弱点 [ruòdiǎn] จุดอ่อน
集中 [jízhōng] รวมศูนย์
兵力 [bīnglì] กำลังทหาร
取得 [qǔdé] ได้รับ
胜利 [shènglì] ชัยชนะ
故事 [gùshi] เรื่องราว
出自 [chūzì] มาจาก
成语 [chéngyǔ] สุภาษิต
主动 [zhǔdòng] การเริ่มดำเนินการ
让步 [ràngbù] ยอมอ่อนข้อให้

สุภาษิตจีน : ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น [草木皆兵]

สุภาษิตจึน

草木皆兵 [cǎomùjiēbīng] 草木皆兵 [cǎomùjiēbīng] : ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น

草 [cǎo] หญ้า
木 [mù] ไม้
皆 [jiē] ทั้งหมด
兵 [bīng] ทหาร

คริสศตวรรษที่ 383 รัฐเฉียนฉิน (ฉินยุคก่อน) ภายใต้การปกครองของอ๋องฝูเจียนซึ่งควบรวมดินแดนทางตอนเหนือเกือบทั้งหมด ได้นำกองทัพทหารและม้าราว 9 แสนลงใต้เพื่อโจมตีรัฐตงจิ้น(จิ้นตะวันออก) อ๋องแห่งตงจิ้น แต่งตั้งเซี่ยสือและเซี่ยเสวียน 2 พี่น้องเป็นแม่ทัพ นำกำลังพลราว 8 หมื่นเข้าต้าน

อ๋องฝูเจียน เชื่อมั่นว่าทัพของตนต้องได้ชัยชนะอน่นอน เนื่องจากกองทัพจิ้นขณะนั้นทั้งอ่อนแอ และมีจำนวนทหารน้อยกว่ารัฐฉินมากนัก อ๋องฝูเจียนตั้งทัพอยู่ที่เมืองโซ่วหยัง (ปัจจุบันคือเมืองโซ่วในมณฑลอันฮุย) และได้ส่งคนผู้หนึ่ง นามว่าจูซี่ว์เดินทางไปยังรัฐจิ้นเพื่อส่งข่าวข่มขวัญแม่ทัพเซี่ยสือ

จูซี่ว์นั้นเดิมเป็นชาวตงจิ้น อดีตมีตำแหน่งถึงเจ้าเมืองนายทัพรักษาการเมืองโซ่วหยังซึ่งเป็นอดีตเชลยศึก ของเฉียนฉิน ปัจจุบันถูกชุบเลี้ยงเป็นขุนนางในพระราชสำนักในตำแหน่งอาลักษณ์ แต่ด้วยความภักดีต่อรัฐตงจิ้น ดังนั้นเมื่อเขาพบกับแม่ทัพเซี่ย และรายงานความตามที่อ๋องรัฐฉินสั่งมาเรียบร้อยแล้ว จึงแนะนำให้กองทัพจิ้น ถือโอกาสตอนที่กำลังหนุนของทัพฉินยังไม่มา เข้าจู่โจมเมืองลั่วเจี้ยนก่อน แม่ทัพเซี่ยเห็นด้วยจึงนำกองกำลังจู่โจม ผลคือได้ชัยชนะกลับมาทำให้กองทหารจิ้นคึกคักอักโข ดังนั้นจึงเดินทัพมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย (ปัจจุบันคือแม่น้ำเฝย สาขาแม่น้ำหวยเหอทางภาคกลางของมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน)

เมื่อฝูเจียนได้รับข่าวว่าทหารจิ้นชนะและมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย ก็ตกใจมากและรีบขึ้นไปมองดูจากบนกำแพงเมือง เมื่อมองไปไกลๆ เห็นกองทหารจิ้น ตั้งค่ายอย่างเป็นระบบระเบียบ มั่มคงยิ่งนัก จนอ๋องฝูเจียนลอบชมเชยเบาๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออ๋องรัฐฉินมองขึ้นไปยังยอดเขาปากงซาน คลับคล้ายว่าคลาคล่ำไปด้วยกองทหารจิ้นที่กำลังโบกสะบัดธงแห่งชัยชนะ ซึ่งหากเพ่งดูอย่างละเอียดนั่นเป็นเพียงต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังไหวเอนไปมาไม่ มีทหารจิ้นแม้สักผู้เดียว แต่อ๋องฝูเจียนตาฝาด พลันเห็นเป็นกองทัพที่แสนจะเข้มแข็งและทรงพลานุภาพ จึงเกิดความตระหนกอย่างยิ่ง จนต้องกล่าวออกมาว่า
“นี่คือกองทัพอันยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงกล่าวว่ากองทัพจิ้นอ่อนแอ?”

หลังจากนั้นไม่นาน อ๋องฝูเจียนก็สั่งกองทหารทำทีเป็นถอยทัพเพื่อให้กองทัพจิ้นข้ามมารบกันที่ ฝั่งน้ำด้านนี้ โดยวางแผนว่าเมื่อทหารจิ้นข้ามมาถึงกลางน้ำ ฝ่ายกองทัพฉินก็จะลงมือโจมตีทันที

แต่เนื่องจากทหารเฉียนฉินบางส่วนได้รับฟังคำกล่าวปากต่อปากว่าทหารจิ้นเข้ม แข็งยิ่งนักจึงเกิดความกลัว พอมีคำสั่งถอยทัพ ก็หันหลังวิ่งหนีไปจริงๆ ประกอบกับเมื่อทัพจิ้นยกข้ามมา จูซี่ว์ ได้ตะโกนว่า “ทัพฉินแพ้แล้วๆ” ทำให้กองทหารฉินที่อยู่เบื้องหลังเห็นเพียงแต่ทหารกองหน้าวิ่งหนีกลับเข้ามา และได้ยินคำกล่าวนั้นต่างปักใจเชื่อว่าเป็นจริงจึงวิ่งหนีเอาตัวรอดด้วย

ผลของการสู้รบรัฐเฉียนฉินจึงพ่ายแพ้ให้กับตงจิ้นอย่างราบคาบ

การศึกครั้งนี้ เป็นการศึกครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์จีน โดยเรียกว่า “เฝยสุ่ยจือจั้น” หรือ “การศึกที่แม่น้ำเฝย” เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการศึกที่ใช้คนน้อยชนะคนมาก คนอ่อนแอชนะคนเข้มแข็ง

ภายหลัง “เฉ่ามู่เจียปิง” หรือ เหมาว่าต้นไม้ใบหญ้าต่างเป็นทหารศัตรู ถูกนำมาเป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบกับอาการกลัวเกินกว่าเหตุ กลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.somdom.com/archiver/tid-3487.html

สุภาษิตจีน : ธนูลับทำร้ายคน [暗箭伤人]

สุภาษิตจึน

暗箭伤人[ànjiànshāngrén] อ้านเจี้ยนซางเหริน(暗箭伤人) : ธนูลับทำร้ายคน

暗 [àn] แปลว่า มืด หรือ ไม่เปิดเผย
箭 [jiàn] แปลว่า ธนู
伤 [shān] แปลว่า ทำร้าย
人 [rén] แปลว่า คน

สมัยชุนชิว อ๋องรัฐเจิ้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐฉี และรัฐหลี่ว์ วางแผนที่จะทำสงครามกับรัฐสี่ว์ (รัฐสี่ว์เป็นรัฐเล็กๆ ปัจจุบันคือเมืองสี่ว์ชางในมณฑลเหอหนาน ส่วนรัฐเจิ้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐสี่ว์ )

ปีหนึ่งในช่วงฤดูร้อน เดือนห้า อ๋องเจิ้งทำการทดสอบความเข้มแข็งของกองทหาร โดยการให้มีการแข่งขันชิงรถม้า ระหว่างแม่ทัพเก่าแก่นามว่า หยิ่งซูเข่า กับแม่ทัพวัยหนุ่มนาม กงซุนจื่อตู ฝ่ายหยิ่งซู่เข่า แม้จะสูงวัยกว่า แต่เป็นแม่ทัพแกล้วกล้ามีกำลังเข้มแข็ง เมื่อมือจับรถม้าได้ก็วิ่งลากออกไปด้วยความรวดเร็ว ส่วนกงซุนจื่อตู ซึ่งปกติไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา มีความมั่นใจในตัวเองสูง เห็นดังนั้นจึง รีบไล่ตาม แต่เมื่อไล่ตามมาถึงถนนใหญ่ หยิ่งซูเข่าก็ลับหายไม่ทิ้งร่องรอย ทำให้กงซุนจื่อตูแค้นใจเป็นอันมาก

เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง เดือนเจ็ด อ๋องเจิ้งมีคำสั่งให้ไปโจมตีรัฐสี่ว์ ทหารเจิ้งบุกตีเข้าไปจนถึงเมืองหลวงของรัฐสี่ว์ หยิ่งซูเข่ารบด้วยความกล้าหาญ วิ่งนำกองทัพปีนขึ้นกำแพงเมืองเป็นคนแรก กงซุนจื่อตูเห็นดังนั้นแล้วก็คิดอิจฉาความเข้มแข็งของหยิ่งซูเข่าประกอบกับ ความแค้นเรื่องชิงรถมาที่ผ่านมา เขาจึงอาศัยช่วงชุลมุนลอบยิงธนูใส่แม่ทัพอาวุโสจนถึงแก่ความตาย
เนื่องจากความชุลมุนในสงคราม ทำให้แม่ทัพ และทหารเจิ้งต่างพากันคิดว่าแม่ทัพหยิ่งซูเข่าโดนทหารรัฐสี่ว์ฆ่าตาย จึงเกิดเพลิงแค้นบุกตีเมืองหลวงสี่ว์จนราบคาบ ทำให้อ๋องรัฐสี่ว์หนีตายไปหลบยังรัฐเว่ย

เหตุการณ์ “ใช้ธนูลอบทำร้ายคน” ภายหลังได้มีการนำมาเป็นคำเปรียบเทียบกับแผนการ หรือพฤติกรรมลอบทำร้ายผู้อื่น
sugarcane 发表于 2008-5-10 12:33

五十步笑百步(泰语)
อู่สือปู้เสี้ยวไป่ปู้ (五十步笑百步) : วิ่ง 50 ก้าวหัวเราะเยาะวิ่ง 100 ก้าว

ครั้งหนึ่งในสมัยสงครามระหว่างรัฐ(战国 : จั้นกั๋ว) ปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง เมิ่งจื่อ(孟子) ได้เข้าสนทนากับ อ๋องเหลียงฮุ่ย(梁惠王) แห่งรัฐเว่ย(魏国)

อ๋องเหลียงฮุ่ยมีปัญหาที่คิดไม่ตรง จึงตรัสถามเมิ่งจื่อว่า
“เราทุ่มเทแรงกายแรงใจปกครองแผ่นดิน ดูแลราษฎรเป็นอย่างดี คราวหนึ่งราษฎรด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเกิดอัคคีภัย เราก็สั่งอพยพผู้คนไปอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ แล้วยังแจกข้าวสารอาหารแห้งแก่ผู้ประสบภัย ซึ่งถ้าราษฎรด้านตะวันออกของแม่น้ำเกิดภัย เราก็จะกระทำเยี่ยงนี้เช่นกัน ส่วนรัฐเพื่อนบ้านอื่นๆ ไม่เห็นอ๋องรัฐใดทุ่มเทแรงใจปกครองแผ่นดินเช่นที่เรา แล้วทำไมราษฎรของรัฐอื่นก็ยังมากเท่าเดิมไม่เคยลดน้อยลง ขณะเดียวกับทำไมราษฎรของรัฐเราก็กลับมีจำนวนน้อยเท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้นเลย ทั้งๆที่เราพยายามดูแลอย่างดี นั่นเป็นเพราะเหตุใด”

เมิ่งจื่อกล่าวตอบว่า
“เนื่องด้วยท่านอ๋องชอบทำสงคราม ดังนั้นโปรดให้ข้าพเจ้าเปรียบเปรยเรื่องนี้กับการทำสงครามเถิด…

ในสงคราม ย่อมมีทหารที่รักตัวกลัวตาย หากทหารเหล่านั้นกำลังวิ่งหนีทหารทัพข้าศึก โดยผู้ที่วิ่งหนีบางคนวิ่งเร็ว วิ่งไปได้ 100 ก้าว บางคนวิ่งช้าวิ่งไปได้เพียง 50 ก้าว แต่คนที่วิ่งไปได้เพียง 50 ก้าวกลับหัวเราะเยาะคนวิ่ง 100 ก้าวว่าเป็นคนรักตัวกลัวตายกว่า ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ของการวิ่งก็คือหลบหนี เช่นกัน แถมตนเองยังวิ่งช้ากว่าด้วยซ้ำไป เช่นนี้ท่านอ๋องคิดว่าถูกต้องหรือไม่”

อ๋องเหลียงฮุ่ยตรัสตอบทันทีว่า
“นั่นย่อมไม่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าจะวิ่งไปได้กี่ก้าวก็ถือว่าจิตใจขลาดเขลา ต้องการหลบหนีเช่นกัน ยอมมีความผิดทั้งคู่”

เมิ่งจื่อได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อท่านอ๋องเข้าในเหตุผลข้อนี้ ก็ย่อมที่จะเข้าใจว่า ทำไมราษฎรของรัฐอื่นก็ยังมากเท่าเดิมไม่เคยลดน้อยลง ขณะเดียวกับทำไมราษฎรของท่านก็กลับมีจำนวนน้อยเท่าเดิม ไม่เพิ่มขึ้นเลย นั่นเพราะ แม้ว่าท่านจะดูแลประชากรดีกว่ารัฐใกล้เคียงอยู่บ้าง แต่ท่านก็ชื่นชมการทำสงครามเช่นเดียวกับอ๋องรัฐอื่นๆ ซึ่งไม่ว่าที่ใด การสงครามย่อมทำให้ผู้คนลำบากยากแค้น ฉะนั้นราษฏรของท่านและราษฏรรัฐอื่นย่อมประสบชะตากรรมเดียวกัน ท่านเองย่อมมีส่วนบกพร่องเช่นเดียวกับอ๋องรัฐเพื่อนบ้าน ” 

ปัจจุบันสุภาษิต “อู่สือปู้เสี้ยวไป่ปู้(五十步笑百步)” หรือ วิ่ง 50 ก้าวหัวเราะเยาะวิ่ง 100 ก้าว หมายถึงผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่นแม้ว่าจะเบากว่า เล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประนามผู้อื่นเพราะถึงอย่างไรตนเองก็ผิดหรือมี ข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน

อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.somdom.com/archiver/tid-3487.html

สุภาษิตจีน : สุราเปรี้ยวขายไม่ออก [酒酸不售]

สุภาษิตจึน

酒酸不售 [jiǔsuānbúshòu] จิ่ว ซวน ปู๋ โซ่ว(酒酸不售) : สุราเปรี้ยวขายไม่ออก

จากบันทึกในหนังสือ “หานเฟยจื่อ ไว่ฉู่ซัวโย่วซั่ง”

รัฐซ่ง มีคนผู้หนึ่งขายสุรา ค้าขายอย่างยุติธรรม ทั้งยังต้อนรับขับสู้ลูกค้าด้วยมารยาทอันดียิ่ง หนำซ้ำสุราที่นี่ก็รสชาติยอดเยี่ยม ดีกรีสูง ทว่ากิจการการค้าของเขากลับไม่ดีนัก สุราขายไม่ออก นานวันเข้าสุราเก่าเก็บก็มีรสเปรี้ยวหมดทั้งสิ้น

คนผู้นี้ขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดสุราจึงขายไม่ออก จึงได้เชิญ หยังเชี่ยน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านมาปรึกษา

ผู้เฒ่าแซ่หยังบอกว่า “สุนัขบ้านเจ้าดุเกินไป” คนขายสุราได้ฟังก็งุนงงมากขึ้น และถามกลับว่า “สุนัขดุ เกี่ยวอะไรกับขายสุราไม่ออกหรือ?” ผู้เฒ่าหยังตอบว่า “สุนัขดุ ลูกค้าย่อมกลัวจนไม่อยากเข้าร้าน เพราะบางคนก็ใช้เด็กน้อยกำเงิน หิ้วไห เพื่อมาซื้อสุรา มาเจอสุนัขดุกระโจนเข้าใส่เช่นนี้ ทุกคนต่างพากันเข็ดขยาด แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สุราที่นี่ไม่มีคนซื้อจนเปรี้ยวไปหมดแล้ว”

จากเรื่องเล่าข้างต้น ร้านสุราเปรียบได้กับประเทศ มีผู้มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม มีแนวทางในการปกครองประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองพร้อมที่จะกราบทูลฮ่องเต้ แต่น่าเสียดายที่ข้างกายฮ่องเต้รายล้อมไปด้วยขุนนางโฉด ที่เปรียบดังสุนัขดุพร้อมจะขย้ำหากใครแหยมเข้าไป ทำให้บ้านเมืองขาดคนดีมีความสามารถเข้ามาช่วยพัฒนา

สุราขายไม่ออกจนรสชาติเปลี่ยนเป็นเปรี้ยว เดิมทีใช้เปรียบเทียบกับ ขุนนางโฉดที่พยายามเท็จทูลความเท็จต่อฮ่องเต้ เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้มีความรู้มีคุณธรรมมาทำงานให้บ้านเมือง ภายหลังใช้เปรียบเทียบกับการหมดหนทางค้าขาย หรือการทำงานใดๆ ที่ใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน

อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.somdom.com/archiver/tid-3487.html

สุภาษิตจีน : สายน้ำไม่หวนคืน [覆水难收]

สุภาษิตจึน

覆水难收 [fùshuǐnánshōu]

Water spilled on the ground can’t be gathered up again.—what is done cannot be undone; it is hard to get it back again

ฟู่สุ่ยหนานโซว (覆水难收):สายน้ำไม่หวนคืน

覆 อ่านว่า [fù] แปลว่า คว่ำ
水 อ่านว่า [shuǐ] แปลว่า น้ำ
难 อ่านว่า [nán] แปลว่า ยาก
收 อ่านว่า [shōu] แปลว่า เก็บ

ปลายราชวงศ์ซาง มีคนผู้หนึ่งที่ฉลาดปราดเปรื่องเป็นอย่างยิ่ง เขาแซ่เจียง นามว่าซั่ง คนทั่วไปเรียกเขาว่า “เจียงไท่กง” หรือ “เจียงจื่อหยา” เป็นบุคคลสำคัญผู้ร่วมมือช่วยเหลืออ๋องโจวเหวิน และอ๋องโจวอู่ล้มล้างราชวงศ์ซาง ภายหลังได้รับแต่งตั้งให้ปกครองรัฐฉี และเป็นอ๋องคนแรกของรัฐฉีในสมัยชุนชิว

เจียงไท่กงเคยรับราชการในราชวงศ์ซาง แต่เนื่องจากไม่พอใจลักษณะการปกครองที่ใช้วิธีโหดเหี้ยมทารุณของอ๋องโจ้ว จึงได้ลาออกจากการเป็นขุนนาง หลบลี้ไปพำนักอยู่ในถิ่นทุรกันดารริมแม่น้ำเว่ยสุ่ยมณฑลส่านซี และเพื่อที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนเพื่อบ้านเมืองอย่างเต็มที่ เขาจึงต้องการทำงานให้อ๋องโจวเหวิน ดังนั้นเขาจึงมักจะนั่งแช่เบ็ดอยู่ริมน้ำ ทำทีเป็นตกปลาแต่คันเบ็ดกลับไม่ได้แขวนเหยื่อปลาไว้ เพื่อเฝ้ารอให้อ๋องโจวเหวินมาพบ

เจียงไท่กงเอาแต่ทำท่าตกปลาทั้งวัน ทำให้ครอบครัวอดอยากยากแค้น หม่าซื่อภรรยาของเขารังเกียจที่เขายากจนไม่มีอนาคตจึงต้องการหย่าขาดไม่ต้อง การอยู่ร่วมกับเขาอีกต่อไป แม้ว่าเจียงไท่กงจะทัดทานและปลอบใจนางว่าอีกไม่นานเขาก็จะลืมตาอ้าปากได้อีก ครั้ง แต่หม่าซื่อเข้าใจว่าเขาเพียงแต่ใช้คำพูดลมๆ แล้งๆ หลอกลวง นางจึงไม่เชื่อและจากไปในที่สุด

ภายหลัง เจียงไท่กงได้รับความไว้วางใจจางอ๋องโจวเหวิน ทั้งยังช่วยเหลืออ๋องโจวอู่ในการผนึกกำลังจูโหว(เจ้าหัวเมือง)ในแต่ละท้อง ที่ล้มล้างราชวงศ์ซางก่อตั้งราชวงศ์โจวตะวันตก(ซีโจว) ได้สำเร็จ

ด้านหม่าซื่ออดีตภรรยา เมื่อได้ข่าวว่าเจียงไท่กงมีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ก็รู้สึกเสียดายที่ในครั้งก่อนไม่ยอมเชื่อฟังเขา นางจึงตัดสินใจกลับมาหาเจียงไท่กงเพื่อหวังจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในอดีต

ทว่าเจียงไท่กงได้รับรู้แล้วว่าหม่าซื่อเป็นคนเช่นไรจึงไม่อยากได้ภรรยาเช่น นางอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อฟังคำขอร้องจากหม่าซื่อจบ เขาจึงคว้าเหยือกน้ำมาเทน้ำลงบนพื้น และบอกให้อดีตภรรยาช่วยเก็บน้ำที่เทออกไปคืนกลับมาให้เขา

หม่าซื่อได้ฟังจึงรีบก้มตัวลงไปกอบน้ำที่พื้น แต่กลับได้มาเพียงดินโคลน ครานี้เจียงไท่กงจึงพูดกับนางว่า “เจ้าได้จากข้าไปแล้ว เราจึงไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก เช่นเดียวกับน้ำที่เทลงบนพื้น ย่อมยากที่จะเก็บกลับคืน”

“น้ำที่สาดออกไปแล้วไม่มีทางที่จะเก็บกลับคืนมาได้” ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรือลงมือทำไปแล้ว ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข

อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.somdom.com/archiver/tid-3487.html

สุภาษิตจีน : สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก [酒好不怕巷子深]

สุภาษิตจึน

酒好不怕巷子深(泰语)
จิ่ว ห่าว ปู๋ ผ้า เซียง จื่อ เซิน(酒好不怕巷子深) : สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก
“สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก” เป็นสำนวนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนมาตั้งแต่โบราณกาล ในเชิงวัฒนธรรมสำนวนดังกล่าวสะท้อนความเป็นชนชาติ ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น และความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตประชากรได้เป็นอย่างดี ใช้เปรียบเทียบกับของที่ดีจริง แม้ว่าจะได้มาด้วยความยากลำบาก แต่ผู้คนก็ยังพยายามดั้นด้นเสาะหาจนพบ “

สำนวนนี้เริ่มใช้กันที่เมืองหลูโจว ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสุราที่โด่งดัง ในสมัยราชวงศ์หมิง และ ราชวงศ์ชิง ในเมืองมีตรอกซึ่งเป็นที่หมักสุราที่ทั้งแคบและลึกอยู่ตรอกหนึ่ง ในตรอกนั้นมีร้านสุราอยู่ 8 ร้าน ซึ่งเป็น 8 ร้านที่ผลิตสุรามีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลูโจว โดยหนึ่งในนั้นคือร้านที่อยู่ด้านในสุดของตรอก ที่มีบ่อหมักสุราเก่าแก่ที่สุด ดังนั้นสุราที่นี่จึงมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดา 8 ร้าน และเพื่อให้ได้ลิ้มรสสุราดี ผู้คนจึงต่างก็ดั้นด้นเข้าไปที่ร้านสุราที่อยู่ลึกที่สุดของตรอก

เล่ากันมาว่า ปีค.ศ. 1873 ผู้นำทางการเมืองผู้หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการต่อต้านราชวงศ์ชิง นามว่าจางจื่อต้ง ได้รอนแรมทางไกลเพื่อมาร่ำสุราร่ายโคลงกลอน ณ เมืองหลูโจว ขณะก้าวขึ้นเรือ พลันจมูกก็ได้กลิ่นสุราที่หอมหวนลอยมากับสายลม เขาสูดดมด้วยความกำซาบไปถึงจิตใจ และสั่งให้คนไปนำสุรานั้นมาให้เขา

ทว่าคนรับใช้หายไปครึ่งวัน ปล่อยให้จางจื่อต้งเฝ้ารอด้วยความหิวกระหายและโกรธเกรี้ยว จนบ่ายคล้อยจึงมองเห็นคนรับใช้ผู้นั้นแบกไหสุราไหหนึ่งวิ่งมาด้วยความรีบ ร้อน เมื่อมาถึงเขาจึงเปิดไหสุราออกมา และพบว่ากลิ่นหอมพลันลอยตลบอบอวล จางจื่อต้งพูดซ้ำๆ กันเพียงว่า สุราที่ดี สุราที่ดี และเพียงยกดื่มได้ 1 จอกก็รับรู้ได้ถึงรสเลิศของสุรา ทำให้โทสะของจางจื่อต้งคลายลง และถามคนรับใช้ว่า “สุรานี้ท่านได้แต่ใดมา?” คนรับใช้รีบกล่าวว่า “ผู้น้อยได้ฟังว่า ร้านสุราที่ตั้งอยู่ในตรอกลึกตรอกหนึ่งมีสุราที่ดีที่สุด ดังนั้นผู้น้อยจึงลัดเลาะ ดั้นด้นไปตามตรอกที่คดเคี้ยวและแคบลึกจนถึงร้านที่อยู่ในสุดของตรอก และได้ซื้อสุราไหนี้กลับมา” จางจื่อต้งได้ฟังจึงรำพึงว่า “สุราดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก”

ความหมาย ของดีไม่ว่าอยู่ที่ไหนย่อมมีคนพยายามตามไปเสาะหาจนพบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทองแท้ย่อมเปล่งประกาย

สำนวนดังกล่าวแพร่หลายมากระทั่งถึงปัจจุบัน